Work : AI จะมาแย่งงานจริงหรือ ถอดรหัสความกลัวของคนทำงาน พร้อมวิธีปรับตัวในออฟฟิศยุคใหม่

นับเฉพาะแค่ช่วง 1 ถึง 2 ปีมานี้ AI พัฒนารวดเร็วแบบก้าวกระโดด หลัง ChatGPT ของ OpenAI ซึ่ง Microsoft หนุนหลังอยู่ กระตุ้นให้ยักษ์เทคบริษัทอื่น ๆ เร่งพัฒนา AI ของตัวเองออกมาชิงส่วนแบ่งตลาด 

เปิดปี 2024 ได้ไม่ทันไร OpenAI ก็เรียกเสียงฮือฮาอีกครั้ง ด้วยการโชว์ให้เห็นว่า AI เวอร์ชั่นล่าสุดถึงขั้นสามารถสร้างวิดีโอจากข้อความได้แล้ว นี่ทำให้คนทั่วโลกกลัวกันมากยิ่งขึ้นว่า คงอีกไม่นานจะต้องตกงานเพราะ AI

แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเราถึงกลัว AI กันนัก เลื่อนอ่านคำตอบพร้อมวิธีปรับตัวได้จากบรรทัดต่อจากนี้   

ทำลายความเฉื่อยชา: ทุกครั้งที่ข่าวเทคโนโลยีใหม่ ๆ แพร่กระจายในวงกว้าง แม้เราพูดกับเพื่อนร่วมบริษัทด้วยความทึ่งในความก้าวหน้า แต่ลึก ๆ ในใจแทบทุกคนต่างมีความรู้สึกหนึ่งซ่อนอยู่

นั่นคือไม่สบอารมณ์ที่สิ่งคุ้นเคย รูปแบบและวิธีการทำงานไม่อย่างใดอย่างหนึ่งต้องเปลี่ยนไป รวมไปถึงเริ่มรู้แก่ใจว่าการทำงานแบบพอผ่อนเกียร์บางครั้ง

หรือความเฉื่อยชาบางคราวในระดับพอรับกันได้นั้น อาจทำไม่ได้อีกต่อไป เพราะเทคโนโลยีจะเข้าทำแทน และบทลงโทษของคนที่ยังอู้งานอยู่ คือ ไล่ออก

วิธีจัดการความรู้สึกลบ ๆ ข้อนี้คือ ย้อนคิดไปว่าเราต่างก็เคยผ่านความเปลี่ยนแปลงมาแล้วทั้งนั้น เช่น เปลี่ยนจากด้วยคน 100% สู่ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ

ส่วนคนรุ่น Gen X และ Babyboom ที่อายุระหว่าง  44-59 ปี และ 60 -78 ปี ให้คิดว่าเคยเรียนรู้การใช้งานคอมพิวเตอร์ จากเดิมที่ใช้เขียนด้วยมือหรือพิมพ์ รวมไปถึงความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในองค์กร

จากนั้นก็ให้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่น การทำความเข้าใจ AI ในยุคนี้เพื่อให้คนในองค์กรรู้ว่า กล้าปรับตัว ไม่ยอมตกยุคและพร้อมอัปเวอร์ชั่นของตัวเองอยู่เสมอ   

ปลุกพลังต่อต้าน: คุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าวันหนึ่งซีอีโอส่งอีเมลกระจายข่าวว่าจะนำ AI มาใช้ในขั้นตอนการทำงานขององค์กร 1 2 3 ดังต่อไปนี้ เชื่อว่าพนักงานรุ่นใหญ่กลุ่มใหญ่คงถอนหายใจหวั่นว่าจะตกงาน

ส่วนรุ่นใหญ่อีกไม่น้อยที่ยังพร้อมสู้ต่อและพนักงานรุ่นใหม่ ๆ ที่คุ้นเคยกับ AI ก็คงรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจว่า “ฉันรู้จักงานตัวเองดี ไม่ต้องมาบอกให้ทำอะไรหรอกนะ”

สถานการณ์นี้เป็นการไปปลุกพลังการต่อต้านเพื่อตอบโต้การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อันเป็นกลไกตามธรรมชาติของมนุษย์ และยิ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงจากการถูกบีบบังคับและภัยคุกคาม พลังต่อต้านที่เกิดขึ้นในใจย่อมรุนแรงกว่าปกติ

วิธีจัดการอารมณ์ลบ ๆ ข้อนี้ คือ ปรับกรอบความคิดเสียใหม่ (Mindset) โดยให้มองเป็นความท้าทาย เช่น ถ้าเป็น AI ก็ให้ปรับ Mindset ว่า จะนำ AI มาใช้กับงานอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน  

กลัวความเปลี่ยนแปลง: ความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ทำให้เรากลัวได้ทั้งนั้น และยิ่งมีที่มาจากการถูกเทคโนโลยีแย่งงาน ความกลัวก็จะยิ่งมาเป็นทวีคูณ ทว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออก

ในกรณีนี้ให้เราลองคุยกับตัวเองผ่านคำถามว่า “ทำไม” เช่น ทำไมกลัว AI จะมาแย่งงาน โดยแม้คำตอบส่วนใหญ่ที่ได้อาจเป็นกลัวตกงาน แต่ลึก ๆ แล้ว คือ กลัวจะกลายเป็นคนไร้ค่าและกลัวครอบครัวจะลำบาก

นี่จะทำให้เราได้เข้าใจตัวเองและต้นตอของปัญหา จากนั้นจะเกิดการวางแผน อย่างขั้นตอนและเวลาต่าง ๆ เช่น การเข้าคอร์สพัฒนาทักษะใหม่ ๆ

ทั้งแบบ Upskilling และ Reskilling โดยเฉพาะเรียนรู้เรื่อง AI และจัดวางตารางชีวิตใหม่เพื่อให้สามารถใช้เวลากับครอบครัวได้อย่างมีความสุข

หวั่นไหวเกินเบอร์: เหตุผลข้อสุดท้ายที่ทำให้เรา โดยเฉพาะบรรดาคนทำงานกลัว AI มาจากความกังวล และเป็นความกังวลที่เกินเหตุหรือตีตนไปก่อนไข้เสียด้วย

เช่น กลัวถูก AI เข้ามาแทนจนถูกไล่ออก ทั้งที่ความเป็นจริงหากเข้าใจและใช้เป็นอาจช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้นด้วยซ้ำ ดังนั้น ทางแก้ไขความกังวลเกินเบอร์เหล่านี้ คือการทำความเข้าใจ

ทยอยปรับตัว เรียนรู้จากเรื่องง่าย ๆ ที่พอทำได้แล้วจึงขยับไปงานยาก แบบเดินขึ้นบันไดสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยนอกจากเป็นการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ยังเป็นการลดความกลัวให้เล็กลง ๆ ตลอดการเรียนรู้อีกด้วย ♦/fastcompany

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer