Trend : ความที่ Gen Z ซึ่งมีอายุระหว่าง 14 ถึง 27 ปี เป็นผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มใหญ่สุดในปัจจุบัน ทั้งแบรนด์สินค้าทุกประเภท และบริษัทต้องหันมาสนใจ ขณะที่คนรุ่นที่อยู่มาก่อนอย่าง Babyboom และ Gen X ซึ่งอายุระหว่าง 44-70 ปี จนมีช่องว่างระหว่างวัย ก็ต้องทำความเข้าใจ

ทำให้ช่วงไม่กี่ปีมานี้มีทั้ง How to ความเคลื่อนไหวและเทรนด์ที่เกี่ยวกับ Gen Z เต็มไปหมด แต่ความเคลื่อนไหวของ Gen Alpha ที่อายุตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 12 ปี ก็ทยอยมีออกมาอย่างต่อเนื่อง และน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยแม้ยังไม่มีกำลังซื้อ แต่ตลาดสินค้าของผู้บริโภคกลุ่มนี้ก็มีแนวโน้มที่จะเติบโต เพราะพวกเขาใช้สื่อออนไลน์เป็นแทบจะก่อนพูดได้ จึงเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย
และ Gen Y ที่อายุระหว่าง 28-43 ปี ซึ่งเป็นพ่อแม่ รวมไปถึงสมาชิกในครอบครัวรุ่นอื่น ๆ ทั้ง Babyboom, Gen X และ Gen Z ก็พร้อมซื้อของให้เพื่อเอาใจ

รายงานเชื่อมโยงกันและเกี่ยวข้องกับ Gen Alpha ก่อนหน้านี้ที่ยืนยันถึงความน่าสนใจในตลาดสินค้า Gen Alpha คือมูลค่าตลาดสินค้า Gen Alpha ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 5.46 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 195 ล้านล้านบาท) ในปี 2029
และ Gen Z ที่กลัวแก่เร็วขึ้นทั้งที่อายุมากสุดของรุ่นก็อายุ 27 ปี ซึ่งเชื่อมโยงมายัง Gen Alpha โดยมีรายงานว่าในสหรัฐฯ พ่อแม่กำลังพากันกังวลที่สาวน้อย Gen Alpha ในบ้าน แต่งหน้าและทาครีมกันแล้ว

แถมยังรบเร้าให้พาไปซื้อครีมทาหน้าต่าง ๆ ในเครือค้าปลีกเครื่องสำอาง Sephora ขณะที่แบรนด์เครื่องสำอางก็ทำเครื่องสำอางสำหรับ Gen Alpha รองรับความต้องการแล้วด้วย
ท่ามกลางการประเมินว่ามูลค่าตลาดเครื่องสำอางและครีมทาหน้าทาผิวสำหรับ Gen Alpha ทั่วโลกที่จะโตต่อเนื่องปีละ 7.71% จนปี 2028 มูลค่าตลาดเพิ่มเป็น 380 ล้านดอลลาร์ (ราว 13,500 ล้านบาท) ซึ่งเมื่อถึงปีนั้นจำนวน Gen Alpha ทั่วโลกจะอยู่ที่ราว 160 ล้านคน
เทรนด์ดังกล่าวคือ Sephora Kid ซึ่งเรียกตามเครือค้าปลีกเครื่องสำอาง Sephora ใต้ชายคา LVMH นั่นเอง โดยความกังวลของพ่อแม่ชาวอเมริกันไม่ได้มาจาก Gen Alpha ที่อ้อนให้ซื้อเครื่องสำอางเร็วเกินไปจนทำให้รายจ่ายในบ้านเพิ่มขึ้น

และการหันมาทำตลาดกับเด็กก่อนวัยรุ่นของแบรนด์เครื่องสำอางเท่านั้น เพราะมีรายงานว่าจำนวนเด็กหญิง Gen Alpha ชาวอเมริกันที่ต้องพบแพทย์ผิวหนังเพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุก็มาจากการใช้ครีมทาผิวและแต่งหน้ากันเร็วเกินวัย
ประกอบกับครีมที่ใช้บางแบรนด์ก็เป็นของแม่หรือพี่สาว ซึ่งไม่เหมาะกับผิวเด็กที่แพ้ง่าย ซึ่งหากใช้นาน ๆ ไปก็ส่งผลเสียต่อผิวในระยะยาวกว่าจนอาจทำให้ผิวแก่เกินวัย

สื่อสหรัฐฯ และอังกฤษรายงานไปทิศทางเดียวกันว่า บรรดาร้านเครื่องสำอางในสหรัฐฯ ไม่ได้แค่มีโซนสินค้าของ Sephora Kid เท่านั้น แต่ยังมีการจัดโปรโมชั่นสอนแต่งหน้าทาผิวสำหรับกลุ่มนี้ด้วย
ขณะเดียวกันก็มีลูกค้าอายุมากกว่าจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่ไม่พอใจพฤติกรรมไม่เหมาะสม และการเข้ามาสร้างความวุ่นวายในร้านเครื่องสำอางของ Sephora Kid.

เทรนด์ Sephora Kid เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เริ่มจากนิสัยรักสวยรักงามตามธรรมชาติของเพศหญิง การเลียนแบบพฤติกรรมผู้ใหญ่ของเด็ก ๆ และคลิปแต่งหน้าทาครีมของเพื่อนวัยเดียวกันที่ท่วมสื่อโซเชียลทุกแพลตฟอร์ม
ซึ่งที่เห็นกันมากคือ TikTok นำไปสู่การรบเร้าขอพ่อแม่ให้พาไปซื้อเอาไว้มาอวดกัน และให้มีเหมือนเพื่อน ๆ ไว้ก่อน โดยที่ไม่คำนึงถึงผลเสียที่ตามมา ทั้งจากการใช้เร็วเกินวัยและใช้ครีมของผู้ใหญ่
ตามด้วย เงินที่สะพัดในตลาดเครื่องสำอางและครีมสำหรับ Gen Alpha โดยข้อมูลยืนยันเรื่องนี้คือ ยอดขายสินค้ากลุ่มนี้ที่โตต่อเนื่องดังที่ได้กล่าวไปแล้ว

ยอดขายที่เพิ่มขึ้นของ Dunk Elephant ครีมสำหรับ Gen Alpha จน Shiseido ยักษ์เครื่องสำอางญี่ปุ่นกล้าทุ่มเงิน 845 ล้านดอลลาร์ (ราว 30,000 ล้านบาท) ซื้อมาเป็นแบรนด์ลูกใต้ชายคาเมื่อปี 2019 ทั้งที่ขณะนั้นแบรนด์นี้มีอายุเพียง 7 ปี
และ e.l.f. แบรนด์เครื่องสำอางอีกแบรนด์ที่ฮิตในหมู่ Gen Alpha จนทำ IPO เมื่อปี 2016 และในปี 2023 ยอดขายโตถึง 203%

รวมไปถึงคลิปสอนแต่งหน้าและดูแลผิวพรรณจากคนที่ดูเหมือนจะเชี่ยวชาญจนมีอิทธิพลทางความคิดเรื่องแต่งหน้าและดูแลผิวพรรณหรือ Skinfluencer ซึ่งในจำนวนนี้มีบางส่วนเป็น Gen Alpha
ตามที่เราเห็นกันในคลิปไวรัลสาววัยฟันน้ำนมสอนแต่งหน้าหรือทาครีมต่าง ๆ นั่นเอง
หากเป็นคนที่ไม่มีลูกคงมอง Sephora Kid เป็นแค่เด็กหญิงอยากแต่งหน้าทาปากทั่วไปหรือเด็กแก่แดดตามสำนวนไทย ที่เด็กหญิงก่อนเป็นวัยรุ่น (Preteen) ทั่วโลกก็เป็นกันมาทุกยุคทุกสมัย แต่กับพ่อแม่ย่อมต้องมองเทรนด์นี้ด้วยความกังวล
เพราะนอกจากรายจ่ายในบ้านที่เพิ่มขึ้นแล้ว ผิวของลูกอาจพังก่อนจะเป็นสาว ดูแลตัวเองแบบผิด ๆ และคงไม่มีพ่อแม่คนไหนปล่อยลูกตกเป็นทาสการตลาดเร็วเกินไปทั้งที่ยังหาเงินเองไม่ได้ ♦/cnn, bbc
–
