Trend : ย้อนไปเมื่อปี 2008 ตลาดหนังทั่วโลกยังถือได้ว่ามีความหลากหลาย โดยหากวัดจากหนังทำเงิน 10 อันดับสูงสุด ก็มีทั้งแนวซูเปอร์ฮีโร่ อย่าง Batman: The Dark Knight ในอันดับ 1 และ Iron Man ในอันดับ 8
ตามด้วยการ์ตูนจากคอมพิวเตอร์กราฟิกอย่าง Kang Fu Panda, Madagascar 2: Escape from Africa และ Wall-E ในอันดับ 3, 6 และ 9 นอกจากนี้ ยังมีหนังเพลงและหนังสายลับ อย่าง Mamma Mia และ 007: The Quantum of Solace ในอันดับ 5 และ 7 อีกด้วย แต่คงไม่มีใครคิดว่านี่คือปีเริ่มต้นของเทรนด์หนังซูเปอร์ฮีโร่ภาคต่อซึ่งออกตัวด้วย Iron Man

อีก 11 ปีจากนั้นค่ายการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ Marvel ที่ย้ายไปอยู่ใต้ชายคา Disney ก็ขยายจักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโร่ของตัวเอง (Marvel Cinematic Universe – MCU) 20 เรื่อง แถมแยกเป็นช่วง ๆ หรือ Phase ได้อีก
และระหว่างนั้นคอหนังทั่วโลกก็ได้ดูหนังซูเปอร์ฮีโร่หลากแนว พอปี 2019 MCU มาถึงจุดสูงสุดทั้งรายได้และเส้นเรื่อง กับ Avengers: End Game ซึ่งกวาดรายได้ทำเงินทั่วโลกไปมากถึง 2,799 ล้านดอลลาร์ (ราว 100,000 ล้านบาท) พร้อมส่งให้ MCU คือหนังภาคต่อทำเงินมากสุดทั่วโลกมาถึงปัจจุบัน
ทว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ก็ถึงคราวอิ่มตัว โดยหลักฐานชัดเจนที่สุดคือหนังกลุ่ม MCU รวมไปถึงหนังภาคต่อที่ใกล้ ๆ กันของ Spiderman (Spiderverse)

อย่าง The Marvels เมื่อช่วงปลายปี 2023 ต่อด้วย Madame Web เมื่อกุมภาพันธ์ 2024 ที่ผ่านมา ทำรายได้น่าผิดหวังอย่างมาก
ท่ามกลางข่าวว่า Marvel สั่งเบรกภาคต่อไปหลายเรื่อง และปี 2024 มี Deadpool and Wolverine เท่านั้นเป็นหนัง MCU ที่จะออกฉาย
อย่างไรก็ตาม ช่วงไม่กี่ปีมานี้ที่หนังซูเปอร์ฮีโร่พลังหมด ก็มีหนังอีกประเภทที่ทยอยออกฉาย ทำเงินได้ดีมาก และกำลังจะมีออกมาอีกหลายเรื่อง จนเป็นเทรนด์ที่กำลังถูกจับตามอง นั่นคือหนังชีวประวัตินักร้องหรือวงดัง
ปี 2022 Elvis หนังเล่าถึงนักร้องดังชาวอเมริกันชื่อเดียวกัน ที่ใช้ทุนสร้าง 85 ล้านดอลลาร์ (ราว 3,000 ล้านบาท) ซึ่งส่งให้ Austin Butler นักแสดงหนุ่มเริ่มมีชื่อเสียง และกำกับโดย Buz Luhrmann ผู้กำกับเจ้าพ่อหนังเพลง ทำเงินทั่วโลกไปมากถึง 289 ล้านดอลลาร์ (ราว 10,500 ล้านบาท)

มาปี 2024 Bob Marley: One Love หนังชีวประวัติของ Bob Marley นักร้องและมือกีตาร์ชาวจาไมกาที่ทำให้โลกรู้จักเพลงเร็กเก้ ที่ใช้ทุนสร้าง 70 ล้านดอลลาร์ (ราว 2,500 ล้านบาท) ทำเงินไปแล้ว 170 ล้านดอลลาร์ (ราว 6,180 ล้านบาท)
ตัวเลขดังกล่าวเป็นอันดับสามรองจากหนังฟอร์มใหญ่ที่ฉายไล่เลี่ยกันจาก Kung Fu Panda 4 และ Dune: Part Two จนมีความเป็นไปได้สูงว่ากระแสหนังเพลงที่กำลังมานี้คงส่งให้ Back to Black หนังชีวประวัติ Emmy Winehouse ที่วางคิวฉายไว้เมษายน 2024 น่าจะทำรายได้ดีเช่นกัน

กระแสหนังเพลงยังไม่หมดแค่นั้น เพราะปีนี้มีหนังชีวประวัตินักร้องหรือสมาชิกวงดังมากมายที่กำลังอยู่ระหว่างถ่ายทำหรือเตรียมงานสร้าง ทำให้ไม่เกินสามปีจากนี้ คอหนังและแฟนเพลงน่าจะพากันเข้าโรง

เพื่อดูหนังชีวประวัติของ Boy George, Linda Rodstudt, George Michele, Carole King, Michaele Jackson, Billy Joel, Bob Dylan, Keith Moon, The Bee Gee และ The Beatles
หนังเพลงถือว่าเป็นหนังที่ค่ายหนังพร้อมทำ เพราะลงทุนน้อย ไม่ต้องใช้นักแสดงดัง เนื้อเรื่องน่าสนใจอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังได้โปรโมตฟรี ๆ (Earned Media) ทุกครั้งที่มีข่าวออกมา และยังมีฐานผู้ชมจากเหล่าบรรดาแฟนเพลงอยู่แล้วอีกด้วย
โดยถ้ารายได้ไม่ดีก็ไม่เจ็บตัวมาก แต่ถ้าหนังดีก็จะเกิดการบอกต่อปากต่อปากจนยอดผู้ชมถล่มทลายและทำเงินเกินคาดอย่างที่ Bohemian Rhapsody หนังประวัติวง Queen เน้นไปที่ตัว Freddy Mecurry นักร้องนำ
ทำเงินทั่วโลกไปมากถึง 910 ล้านดอลลาร์ (ราว 33,000 ล้านบาท) จากทุนสร้างเพียง 55 ล้านดอลลาร์ (ราว 2,000 ล้านบาท) เท่านั้น
ทั้งหมดนี้จึงกล่าวได้หนังชีวประวัตินักร้องหรือวงดังจะเป็นเทรนด์ความหวังใหม่ของค่ายหนังไปอีกสักพักหลังหมดยุคหนังซูเปอร์ฮีโร่ จนกว่าเทรนด์หนังใหม่จะผุดขึ้นมา ♦/theguardain
–
