หรรษา วงศ์สิริพิทักษ์ Head of Marketing – The 1, Central Group กล่าวในงานสัมมนา Marketeer Talk : Shopping Insight and Trends ที่ผ่านมาว่า
ในมุมของธุรกิจรีเทล จากในอดีตก่อนโควิด-19 หลายคนมองว่ารีเทลจะถูก Disrupt ด้วยอีคอมเมิร์ซ
แต่เมื่อเข้าสู่ยุค Post Covid-19 Era ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม Shopper ไปจากเดิม ผู้บริโภคโหยหา การเห็นกัน การเจอกัน และ Shopper มองหาประสบการณ์ในรูปแบบ Instore Experience ได้จับ สัมผัส ได้เห็น ได้ลอง ได้รับรู้ กลิ่น เสียง และอื่น ๆ
ผสมกับเทคโนโลยีที่รีเทลนำมาใช้งานสร้างประสบการณ์ต่าง ๆ ให้กับผู้บริโภค เป็นเทคโนโลยีที่ใช้งานได้จริง เช่น ซาร่านำ QR Code มาติดไว้ที่เสื้อผ้าให้ลูกค้าที่สนใจเสื้อผ้าชิ้นนั้นสแกนเพื่อดูว่ามีไซซ์ที่ต้องการไหม และมีอยู่ที่สาขาไหนบ้าง หรือลูกค้าบางคนเลือกดูสินค้าในช้อปและสั่งออนไลน์ให้ส่งที่บ้าน เพราะมีนัดกับเพื่อนต่อและไม่อยากถือสินค้าที่ซื้อมาไปด้วย เป็นต้น

ทำให้วันนี้ Store เป็นพื้นที่ให้ Shopper ไปจับ ไปลองสินค้าจริง ในรูปแบบ Real Experience ประกอบกับเทคโนโลยีที่เป็น Utility จริง ๆ กลายเป็นเทรนด์ของ Shopper ยุคใหม่ที่ตอบโจทย์ได้ครอบคลุม
และสำหรับเทรนด์การแข่งขันของรีเทลในปี 2024 หรรษามองว่าจะมีอยู่ด้วยกัน 5 เทรนด์ ได้แก่
1. Data
โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมรีเทล เป็นกลุ่มที่มี Data มหาศาล จากการเก็บข้อมูลต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตไปจนถึงปัจจุบัน แต่การไม่มี Data ไม่เจ็บเท่าการมี Data แล้วใช้ผิด ความท้าทายในวันนี้จึงไม่ใช่ความท้าทายในเรื่องการมี Data เพราะทุก ๆ ครั้งที่มี Interaction จะเกิด Data เสมอ แต่จะใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจ
2. เทคโนโลยี
ไม่ใช่เป็นเทคโนโลยีที่เฟี้ยวฟ้าว เช่น AR VR แต่เป็นมุมของเทคโนโลยีที่สร้างความยั่งยืนในรูปแบบ Loyalty จะต้องวางอินทราสตรักเจอร์โครงสร้างการจัดการข้อมูลอย่างไร เพื่อให้ไปถึงผู้ใช้งาน ทั้งยูสเซอร์ มาร์เก็ตติ้ง ฝ่ายจัดซื้อ ที่สามารถทำงานได้และตอบโจทย์มากกว่าความคาดหวังของลูกค้า
ทุกวันนี้ใครอยู่ในวงการมาร์เก็ตติ้งจะทำแค่แคมเปญคอมมูนิเคชั่นไม่พอ แต่ต้องเป็นช่างพูดภาษา Product และ Tech เพราะทุกวันนี้เธอบอกว่าการประชุมของเธอ 60% หมดไปกับการประชุมกับทีม Product และ Tech จากการมองเห็นว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นงบมหาศาล มาร์เก็ตติ้งจึงต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เพื่อมอบประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคที่ง่าย

3. Customer Expectation
จากความชอบของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่น วันนี้ชอบ พรุ่งนี้ไม่ชอบ และกลับมาชอบใหม่
ในขณะที่ Supply Chain ที่เป็นหัวใจทางธุรกิจ เช่น Supply Chain Product และ Service จะต้องทำอย่างไรที่จะเตรียมของให้เพียงพอขายและได้กำไร
4. Sustainability
องค์กรจะต้องทำความยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจในรูปแบบห่วงโซ่คุณค่า หลายบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์จะมีเรื่อง SET ESG Rating ให้ Rating ของบริษัทผ่านการวัดผลจากการกระทำ
และ Sustainability จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ อย่างเช่นปลายปีที่ผ่านมามีการออกหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน และมีสิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ 100,000 บาท บริษัทที่จะผ่านหุ้นกู้นี้ได้จะต้องผ่านขั้นตอนของ SET ก่อน เพื่อทำหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนได้
ความยั่งยืนจึงถือเป็น Disrupt Process ไม่ใช่แค่แคมเปญปลูกป่าแล้วจบเท่านั้น
หรรษาแชร์ข้อมูลให้ฟังว่า ถ้าเปรียบเทียบภาพรวมของ Shopper ในยุโรป พวกเขาจะให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่ทำเพื่อความยั่งยืนและเป็นพื้นฐานการตัดสินใจ ถ้าสินค้าที่ไม่ได้ทำเกี่ยวกับความยั่งยืนจะถูก Define ไปขายในอีกกลุ่มหนึ่งที่มีเลเวลน้อยกว่าสินค้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
ส่วนประเทศไทยเชื่อว่าเทรนด์นี้กำลังมา จากผู้บริโภคที่ Concern เรื่องนี้จริง ๆ ซึ่งเธอมองว่าองค์กรใหญ่ ๆ ที่เข้าร่วม Sustainability ต้องมี Action อย่างจริงจัง เพราะถ้าไม่เริ่มที่องค์กร หรือผู้ให้บริการ ผู้บริโภคที่ Concern นี้จะมี Action ยาก เพราะเป็น Eco System ที่ต้องทำร่วมกัน
5. การหาความแตกต่าง
เป็นเบสิกของการแข่งขัน แต่ความแตกต่างแค่ Product คงไม่สามารถตอบโจทย์ได้ เพราะผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ทั่วมุมโลก จนเกิด Same-Same Product and Service
ความท้าทายคือการทำอย่างไรให้ผู้บริโภครู้สึกว่าซื้อที่นี่ดีกว่า อะไรที่ทำให้ผู้บริโภคมองว่าของเหมือนกันแต่ฉันอยากซื้อกับเธอ
เพราะเรื่องนี้เป็น Core ที่สำคัญในการ Maintain เรื่อง Loyalty
เช่นเรื่องการให้คะแนนสะสม รวมถึงการบริการ เป็นต้น

สำหรับนักการตลาดเธอแนะนำว่า การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านดาต้า คือ การทำอย่างไรที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ถูกต้อง คือ การมีความเข้าใจและใช้ให้เป็น
โดยในเซ็นทรัลกรุ๊ป จะเรียกกลุ่มเป้าหมายว่า Lead (กลุ่มลูกค้าที่มีแนวโน้มสนใจสินค้าหรือบริการแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ) และมีแนวทางในการ Define Lead ผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า The 1 Single View of Customer หรือ SVOC
เป็นเครื่องมือที่ทำมา 6 ปีต่อเนื่อง ที่ต้องใช้ Data ทีม Tech และทีม Marketing เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยกัน เพื่อมองลูกค้าแบบ 360 องศา
เพราะการมีข้อมูลมากแต่ถ้ามองที่ปลายทางว่าซื้ออะไรเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถเข้าใจลูกค้าได้จริง ๆ หรือไม่สามารถวางแผน วิธีการที่จะหาโอกาสทางการตลาดได้
ซึ่ง SVOC จะมองลูกค้าตั้งแต่ Demographic, Psychographic, Spending Power ที่แยกเป็นสองส่วน คือความสามารถในการจ่ายจริง เช่น เลเวลในการถือบัตรเครดิตแต่ละใบ และความอยากที่จะ Spend ในเรื่องนี้ โดยความอยากมาจากความสนใจ พฤติกรรมก่อนการซื้อ ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ The 1 ใช้อยู่

เปรียบเทียบการมองลูกค้าแบบ Single View กับ มองผ่านเครื่องมือ SVOC จะพบว่า
เมื่อมองจาก Single View
ถ้าลูกค้าไปซื้อสินค้าสกินแคร์และความงามราคาสูงที่เซ็นทรัล จะมองว่าลูกค้ากลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่ม Diamond Society หรือ VIP ที่มีอายุมากหน่อย และไม่มีลูก
เมื่อลูกค้าไป Tops เดือนละครั้งซื้อผ้าอ้อมและนมเด็ก จะมองว่าลูกค้าคนนี้คือคุณแม่นมผง
และถ้าลูกค้าเดินไปที่เซ็นทรัลพัฒนา ในโซนพลาซ่าในเซ็นทรัลเวิลด์ ลูกค้าซื้อของยูนิโคล่ H&M มองว่าลูกค้าคนนี้อายุไม่มาก
ความจริงแล้วลูกค้าที่มองผ่าน Single View ที่แตกต่างกันนี้ เป็นลูกค้าคนเดียวกันเมื่อมองด้วย SVOC
เพราะลูกค้าคนนี้เป็นคุณแม่ มีลูกเล็ก และชอบเรื่องความงามมาก แต่ไม่ค่อยซื้อสินค้าอย่างอื่นในเครือ ซึ่งถือเป็นโอกาสในการนำเสนอบริการที่ดีกว่า หรือนำเสนอสินค้าอื่น ๆ ที่ลูกค้ายังไม่ค่อยซื้อไปยังลูกค้าได้

นอกจากนี้ การเข้าถึงการใช้ช่องทางต่าง ๆ สร้าง Engagement ทั้ง Paid และ Earn Media โดยในเครือ The 1 ให้ความสำคัญกับ Owned Media มาก และอยากฝากกับ Marketer ว่าให้ความสำคัญกับ Owned Media เพราะเป็นช่องทางสำคัญที่แบรนด์สามารถควบคุมได้ สามารถปรับเปลี่ยนแพลนได้ทันที อย่าง Owned Media ของ The 1 ให้ความสำคัญกับ The 1 App
และต้อง Define ช่องทางที่ใช้ให้ชัด และถูกต้อง รวมถึงการเลือกสื่อสารผ่านคอนเทนต์ในแต่ละช่องทางให้ถูกที่ถูกทาง จาก AI Tool ต่าง ๆ เป็นโอกาส ในการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาสู้กับ Content Creator ได้
และให้คอนเทนต์ที่ออกจากแบรนด์มีความน่าสนใจ มีความ Sexy ได้
เพราะช่องทางกับคอนเทนต์เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเข้าถึง ผ่านการทำ Optimization ที่ต้อง Test และ Try ว่ากลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มมี Re Action กับสิ่งที่ต้องการสื่อสารอย่างไร
เช่น ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ทีม The1 ทำแคมเปญเข้าถึงลูกค้าเฉลี่ยวันละ 500-600 แคมเปญ ในรูปแบบ Micro Campaign สื่อถึงกลุ่มเป้าหมายในทุก ๆ วัน และวัดผลจาก Data ว่าแต่ละแคมเปญได้รับการตอบรับอย่างไร แคมเปญที่ได้รับการตอบรับดี ได้ไปต่อ แคมเปญไหนไม่ประสบความสำเร็จก็ยกเลิกไป และต้องสแกนความสำเร็จในแคมเปญต่าง ๆ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าทีละมาก ๆ ได้

ส่วน MarTech เป็นตัวสร้างโอกาสใหม่ ๆ และเปลี่ยนวิธีในการเข้าถึงลูกค้า แม้ในไทยตอนนี้อาจจะให้ความสำคัญกับ MarTech ในเรื่อง Infrastructure เรื่อง CDP (Customer Data Platform) เรื่องของ Tech
แต่ในฐานะนักการตลาดอยากให้ความสนใจว่า MarTech ในฐานะเป็นยูสเซอร์ จะใช้ประโยชน์ได้อย่างไร สร้างโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และเปิดช่องทางใหม่ ๆ ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างไร
เธอยกตัวอย่าง Case Classic ที่นำ MarTech มาใช้ เช่น ถ้าเดินไปที่เซ็นทรัลซื้อเครื่องสำอาง ยอดขายเข้าระบบ จะมีข้อความส่งไปหาลูกค้าทันทีว่า ขอบคุณลูกค้าที่เข้ามาอุดหนุนสินค้า และทางห้างมีคูปองมานำเสนอให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าอื่น ๆ ได้
ซึ่งการใช้ MarTech เป็นการลงทุนมหาศาล จากการนำ Tool ต่าง ๆ มาเชื่อมโยง หรรษาแนะนำว่านักการตลาดต้องลองศึกษา Journey ที่อยากให้เกิดก่อน เพราะจะทำให้สามารถตัดสินใจได้ว่าจะลงทุนอะไรก่อน เพื่อลดค่าใช้จ่ายจากการลงทุนที่ไม่จำเป็น

เพราะในวันนี้กลยุทธ์การตลาดที่รีเทลยุคนี้ต้องทำ การเลือกคนที่เป็นลูกค้าจริง และเอาใจใส่ลูกค้าที่ให้ Value กลับมา ผ่านการให้เกรดลูกค้าและดูแลลูกค้าตามเกรดอย่างเป็นธรรม
บนการสื่อสารผ่านความต้องการของลูกค้าที่ไม่เหมือนกัน และไม่พร้อมกัน และทำอย่างไรที่จะให้ Offer และสื่อสารไปถูกคน

นอกจากนี้ ในงาน Marketeer Talk หรรษา แชร์ข้อมูลที่ได้มาจาก The 1 Insight 3 หัวข้อ พร้อมเทรนด์ที่น่าสนใจ ได้แก่
Insight Easy E-Receipt
ช่วงของช้อปลดหย่อนภาษี ได้สูงสุด 50,000 บาท หรือ Easy E-Receipt ตั้งแต่ 1 มกราคม-15 กุมภาพันธ์ 2567
พบว่าสินค้าที่เติบโตสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
เครื่องฟอกอากาศ 98%
เครื่องปรับอากาศ 68%
ไดร์เป่าผม เครื่องหนีบผม 56%
โทรศัพท์มือถือ 27%
รองเท้ากีฬา 20%
และถ้ามองไปที่สินค้ายอดฮิตที่แต่ละ Generation ซื้อพบว่า
Gen X (เกิด พ.ศ. 2508-2522) Gen ที่ถูกมองว่าเป็นคนรุ่นใหญ่ เน้น Work-Life Balance มีความรับผิดชอบเต็มร้อย
ในช่วง Easy E-Receipt กลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตสูงสุดจะเป็นสินค้าในกลุ่มสินค้ากีฬาและออกกำลังกาย โดยแบรนด์สเกตเชอร์ส, ไนกี้ และอาดิดาส ขายดีที่สุด
Gen Y (เกิด พ.ศ. 2523-2539) เป็น Gen ที่กำลังอยู่ในช่วงของ Middle Management ในการทำงาน มีไฟที่แรง และเป้าหมายไว้พุ่งชน
ในช่วง Easy E-Receipt กลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตสูงสุดจะเป็นสินค้าในกลุ่มเครื่องสำอางและน้ำหอม โดยแบรนด์ยอดนิยม ได้แก่ ดิออร์ ชาแนล และนาร์ส
Gen Z (เกิด พ.ศ. 2540-2552) เป็น Gen ที่เพิ่งเริ่มทำงานและเสียภาษี Gen นี้จึงตื่นตัวเรื่องลดหย่อนภาษีเป็นที่หนึ่ง
Gen Z เป็นกลุ่มที่ตื่นตัวเรื่องลดหย่อนภาษีเป็นที่หนึ่ง เป็นกลุ่มที่มียอดใช้จ่ายเติบโตสูงสุดเพิ่มขึ้นถึง 18% ในช่วง Easy E-Receipt โดยสินค้าที่มียอดการซื้อที่เติบโตอย่างโดดเด่นในกลุ่มนี้คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และมีแบรนด์แอปเปิล ไดสัน และซัมซุงเป็นแบรนด์ขายดีในกลุ่มนี้

Insight Aging Society
Insight Aging Society ในกลุ่ม Silver Spender ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป คนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมพร้อมเปย์ จากกำลังซื้อที่มีสูง จากมูลค่าสินทรัพย์เฉลี่ย 10 ล้านบาทต่อคน มีรายได้ต่อครัวเรือน 3 แสนบาทต่อเดือน
เพราะถ้ามองจากภายนอกไม่ผ่าน Data อาจจะคิดว่าสินค้าและบริการที่คนกลุ่มนี้ต้องการเป็นเรื่องสุขภาพ การหาหมอ โรงพยาบาล อาหารเสริม
แต่ความน่าสนใจของคนกลุ่มนี้ที่ได้จาก Data The 1 คือคนกลุ่มนี้ซื้อสินค้าตอบโจทย์ความสุขมากกว่าความจำเป็น จนเกิด 2 เทรนด์ที่เห็นชัด จนเกิดโอกาสการตลาดในสินค้าที่ไม่คิดว่าจะเป็นกลุ่มที่ตรงกับความต้องการของคนกลุ่มนี้
โดย 62% จะซื้อสินค้าแฟชั่น จิวเวลรี และความงาม
38% ซื้อของแต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหาร
พฤติกรรมการช้อปของกลุ่ม Silver Spender จะนิยมช้อปในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ห้างยอดนิยม ได้แก่ เซ็นทรัลชิดลม เซ็นทรัลลาดพร้าว และเซ็นทรัลปิ่นเกล้า
และนิยมช้อปในวันธรรมดาไม่จำกัดช่วงเวลา
ซึ่งการเดินห้างของกลุ่ม Silver Spender จะช่วยเติมเต็มให้กับห้างในช่วงเวลาที่ไม่ใช่พีคไทม์ เช่น ช่วงเช้า ลูกค้าออกกำลังกายที่สวนลุมพินีเสร็จและเข้ามาจับจ่ายต่อในห้าง เช่น ในซูเปอร์มาร์เก็ตในช่วงเวลาห้างเปิด
และลูกค้ากลุ่มนี้มองว่าการเดินช้อปปิ้งในห้างเป็นหนึ่งในการออกกำลังกาย และต้องการได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากพนักงาน

สินค้าที่ขายดีในแต่ละหมวด ได้แก่
หมวดแฟชั่น
เสื้อผ้าลำลอง
รองเท้าเพื่อสุขภาพ
กระเป๋าถือ
ความงาม
สกินแคร์ Anti-Aging
แป้งฝุ่นและแป้งอัดแข็ง
ลิปสติกบำรุง
ของใช้ในบ้าน
ที่นอน Orthopedic
หมอนขนห่าน
ผ้านวม
อาหาร
ผลไม้นำเข้า
ผักออแกนิก
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ
โดยพฤติกรรมการช้อปของกลุ่ม Silver Spender เกิดเทรนด์ที่น่าสนใจ 2 เทรนด์ ได้แก่
1. Self Indulgence จ่ายเพื่อความสุข ความรื่นรมย์ของตัวเอง
กลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมเพื่อเพิ่มความสุขให้กับกลุ่ม Silver Spender คือ
เครื่องสำอาง 44% โดยเฉพาะแป้งและรองพื้นขายดีที่สุด
สกินแคร์ 33% เน้น Anti-Aging
กระเป๋าถือ 25% นิยมกระเป๋าสไตล์มินิมอล น้ำหนักเบา
2. Health Enthusiast พร้อมจ่ายเพื่อสุขภาพและความมั่นคง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสินค้าที่มีราคาสูง
โดยกลุ่มสินค้ายอดนิยม 3 อันดับแรก ได้แก่
เตียงและเครื่องนอน 25% จะเน้นไปที่แบรนด์ที่มีคุณภาพสูง เพราะคนกลุ่มนี้จะไม่สนใจว่าเป็นสินค้าที่ทำมาจากผ้าอะไร แต่จะดูที่จำนวนด้ายในการทอของผ้าเป็นหลัก เช่น 720 ด้ายขึ้นไป เป็นต้น
รองเท้าผ้าใบ 58% เน้นไปที่รุ่นเพื่อสุขภาพและเป็นตัวทอปของแบรนด์นั้น ๆ
ลงทุนประกันชีวิต จ่ายเพื่อให้คนรุ่นหลัง โดยประกันชีวิต The 1 Legacy มียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 200% ในปี 2022 เทียบกับ 2021

Insight Pet Parent
ความน่าสนใจของเทรนด์ Pet Parent คือ คนไทยเลี้ยงสัตว์เหมือนลูก และเปย์ให้สัตว์เลี้ยงเฉลี่ย 1-2 หมื่นบาทต่อตัวต่อปี
โดยสัดส่วนยอดขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงยอดนิยมในปี 2566 ประกอบด้วย
แมว 63%
สุนัข 31%
และสัตว์เลี้ยง Exotic 6% ซึ่งสัตว์เลี้ยง Exotic เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงจากยอดขายสินค้ากลุ่มนี้เติบโตกว่า 50% เมื่อเทียบกับปี 2565
สำหรับสัตว์เลี้ยงยอดนิยมของคนแต่ละ Gen ที่จะสื่อถึงไลฟ์สไตล์และชีวิตความเป็นอยู่ ประกอบด้วย
Baby Boomer เป็นกลุ่มที่เลี้ยงสัตว์น้อยที่สุด
Gen X นิยมเลี้ยงนกและปลา เพื่อช่วยเติมเต็มชีวิต และสิริมงคลแบบไม่เปลืองแรง
Gen Y เป็นทาสแมวอันดับหนึ่ง เลี้ยงเพื่อแก้เหงา และเป็น Gen ที่นิยมอยู่คอนโด ที่มีพื้นที่จำกัด และใช้จ่ายให้กับแมวสูงมาก ทั้งทรายแมว คอนโดแมว เครื่องปล่อยอาหารเป็นช่วงเวลา และอื่น ๆ
Gen Z เลี้ยงสุนัขมากที่สุด จากการเป็นวัยเริ่มทำงาน และต้องการเสริมพลังบวก คนกลุ่มนี้จะใช้จ่ายกับสัตว์เลี้ยงสูงมาก
ซึ่งการรับเลี้ยงแมวของทาสแมว 50% เลือกรับเลี้ยงแมวจรจัด
และผู้เลี้ยงสุนัขกับสัตว์เลี้ยง Exotic นิยมซื้อจากฟาร์ม
จากเทรนด์ Pet Parent เป็นขาขึ้นของเทรนด์ธุรกิจเพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง
เช่น อาหารเกรดโฮลิสติก (อาหารที่เน้นวัตถุดิบจากธรรมชาติ) ในปีที่ผ่านมามียอดขายเติบโตมากถึง 20 เท่าจากปี 2565
และ 65% ของผู้เลี้ยงมองหา Pet Wellness Center บริการดูแลและรักษาสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร
ส่วน Top5 แบรนด์สินค้าสัตว์เลี้ยงยอดนิยม ได้แก่ วิสกัส เพ็ดดีกรี สมาร์ทฮาร์ท สมาร์ทเตอร์ และมีโอ เป็นต้น

และสุดท้ายชีวิตไม่ได้ง่ายในการทำมาร์เก็ตติ้งอีกต่อไป เพราะการตลาดในวันนี้ต้องมีทั้งฮาร์ดสกิลและซอฟต์สกิล ที่จะช่วยให้การวางแผนมีความแตกต่างและเข้าใจลูกค้าจริง ๆ
ซึ่งในอุตสาหกรรมรีเทลมาร์เก็ตติ้งจะต้องมีคอมมอนเซนส์สูงที่สุด มีความเป็นมนุษย์สูงที่สุด อย่าให้ Tech และเรื่องอื่น ๆ มากลบความเป็นมนุษย์ให้หายไป เพื่อเข้ามาขับเคลื่อนให้ Data และ Tech มี Mining Full มากขึ้น
นอกจากนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ การมี Responsibility – Empathy -Sympathy เพราะโลกมันยากขึ้น การแข่งขันและทุกอย่างยากไปหมด สิ่งเดียวที่ทำให้อยู่ต่อไปได้คือ
ความรับผิดชอบต่อสังคม ความรับผิดชอบต่อตัวเอง ความรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ล้ำเส้นกัน การแข่งขันสู้กันได้ แต่สุดท้ายก็กลายมาเป็นลูกค้าซึ่งกันและกัน และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
การหา Right ต้องรู้ว่าลูกค้ามีตัวตนอย่างไรก่อน ทั้งโพรไฟล์
เมื่อคิดแคมเปญอะไร อยากให้นักการตลาดจำลองเป็นลูกค้า เพื่อหาแวลู่ที่ใช้กับลูกค้าได้จริง
และเมื่ออ่านแคมเปญนี้แล้วมี Re Action ว่าอะไร
สแกลอย่างไรในแองเกิ้ลที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างผลกำไร
ทิ้งสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ได้ใช้ และติดต่อสื่อสารให้ถูกจุด
สามเรื่องนี้เมื่ออยู่แยกกันจะดูดี
แต่เมื่อโควิด-19 เข้ามา รีเทลได้ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการปรับภายใน และการนำพนักงานไลฟ์สดเพื่อขายสินค้า ทำให้โซเชียลคอมเมิร์ซขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง
ดูแบบคลิปได้ที่
–
