THE KLINIQUE เขย่า ตลาดเสริมความงาม 7 หมื่นล้าน ใช้กลยุทธ์แตกแบรนด์ จับกลุ่มลูกค้าต่างวัย ทุ่มงบ 500 ล้าน ตีตลาดต่างจังหวัด

ในยุคที่ความสวยไม่ใช่เรื่องไกลตัว หันไปทางใดก็เจอกับคลินิกเสริมความงามตั้งอยู่ทุกทิศทาง  และปีนี้คลินิกความงามกระจายมากกว่า 5 พันแห่งทั่วประเทศ อุตสาหกรรมเสริมความงามปี 2566 มีมูลค่า 6.4 หมื่นล้านบาท และคาดว่าปี 2567 จะเพิ่มเป็น 7 หมื่นล้านบาท และจะทะยานไปถึง 1.2 แสนล้านบาท ภายในปี 2573

เพราะคนให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์มากขึ้น ธุรกิจการแพทย์ความงามจึงโตวันโตคืน  กลายเป็นธุรกิจเนื้อหอมที่ใครก็อยากลงเล่น

แต่ใช่ว่าจะสามารถตบเท้าเข้ามาได้ง่าย ๆ เงื่อนไขมากมาย เนื่องจากเป็นธุรกิจอันเกี่ยวเนื่องกับการแพทย์

​นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีการเสริมความงามมากที่สุดในปี 2563 โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมเสริมความงามในประเทศนั้นพบว่ามีการเติบโตขึ้นทุกปี อย่างปีที่ผ่านมานั้นธุรกิจศัลยกรรมเติบโตขึ้นกว่า 361% มาจากการที่ผู้บริโภคเปิดรับการทำศัลยกรรมและเสริมความงามมากขึ้น

​จากการศึกษาของ Grand View Research พบว่า ระหว่างปี 2565-2573 อุตสาหกรรมเสริมความงามศัลยกรรมมีการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) 9.70% โดยในปี 2566 มีมูลค่า 6.4 หมื่นล้านบาท และปี 2567 จะมีมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท แต่ในแง่ตลาดความงามภาพรวมอยู่ที่ 1.85  แสนล้านบาท จึงไม่แปลกที่ผู้เล่นจ้องจะลงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด

นับแต่ปี 64-66 เดอะคลีนิกค์มีรายได้และกำไรปีละ 50% ต่อปี ส่วนของศัลยกรรมที่เพิ่งเริ่มมาได้สองปี เห็นการเติบโตสูงถึง 361% เนื่องมาจาก Facilities ที่เพียบพร้อม ทีมมาจากโรงพยาบาลพญาไท ทีมแพทย์จากจุฬาลงกรณ์และศิริราช ทำให้ลูกค้าได้รับความไว้วางใจ บอกต่ออย่างรวดเร็ว ทั้งยังเสริมทัพด้วยกลุ่มสกิน ที่ปีนี้ตั้งเป้าเปิดเพิ่ม 15-20 สาขา ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอย่างละครึ่ง

ตลาดเสริมความงามเติบโตสองหลักทุกปี หรือเกือบ 1 ใน 3 ของโรงพยาบาลเอกชน แม้มีผู้เล่นเข้ามาให้ได้เห็น แต่ก็มีคนที่ต้องเดินออกไปเช่นกัน แต่เป็นเชนคลินิก ซึ่งเป็นผู้เล่นรายย่อย  เชนคลินิกในตลาดมีอยู่ประมาณ 20 เชน ขณะที่แบรนด์ใหญ่เกินกว่า 100 สาขาขึ้นไป มีเพียง 2 เชน แต่เดอะคลีนิกค์มี 45-50 สาขา และยังไม่มีรายไหนเจาะตลาดต่างจังหวัดได้อย่างแข็งแกร่ง  เพราะหากแบรนด์ไม่แข็งแกร่งจริง จะเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมคุณภาพคลินิก

ตลาดต่างจังหวัดมีโอกาสเติบโตอีกมาก เนื่องจากประชากรมีความเป็นคนเมืองมากขึ้น มีดีมานด์ ต้องการการบริการไม่ต่างจากคนเมือง เพราะการเสพสื่อโซเชียลทำให้คนมีไลฟ์สไตล์ที่ใกล้เคียงกัน  และกำลังซื้อยังไม่ต่างกันด้วย  สำหรับเดอะคลีนิกค์มีสาขาในต่างจังหวัดแล้ว ซึ่งการเปิดสาขาในต่างจังหวัดยังช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักไปในวงกว้างมากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจศัลยกรรม เพราะไปดูแลสาขาใกล้บ้านได้

ส่วนของปัจจัยในการเลือกใช้บริการของลูกค้าจะมองที่ชื่อแบรนด์เป็นหลัก ว่ามีความเชื่อถือหรือไม่ เนื่องจากความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ทุกคนกังวล การมีพรีเซนเตอร์นำเสนอแบรนด์เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้คนเข้าใจคอนเซ็ปต์แบรนด์

“มีลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก บางคนยอมจ่ายแพงขึ้น 20% เพื่อแลกกับความน่าเชื่อถือ ซึ่งเดอะคลีนิกค์มีฐานลูกค้าอยู่ 2-3 แสนราย ในจำนวนนี้ 70% เป็นลูกค้าประจำของแบรนด์ สะท้อนให้เห็นความวางใจในชื่อเดอะคลีนิกค์” นายแพทย์อภิรุจ กล่าวเสริม

เดอะคลีนิกค์ ในปี 2566 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวม 2,285 ล้านบาท เติบโต 39%

ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง เดอะคลีนิกค์เลือกใช้กลยุทธ์ขยายสาขาแบบมัลติแบรนด์ กระจายตัวอยู่ตามห้างสรรพสินค้า 60 กว่าสาขาทั่วประเทศ เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน  แบ่งเป็น 5 แบรนด์หลัก ได้แก่

 

  • THE KLINIQUE : เน้นกลุ่มลูกค้า Gen X หรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงในระดับ Luxury และ Hi-End
  • L.A.B.X : เน้นลูกค้ากลุ่มพรีเมียม
  • L’Clinic : จับกลุ่มลูกค้าอายุน้อยในระดับพรีเมียมแมส มีพรีเซนเตอร์วง Girls group จับกลุ่มเด็กมหาวิทยาลัย และ First Jobber
  • THE KLINIQUE SURGERY CENTER : ให้บริการด้านศัลยกรรมเฉพาะทาง มีศูนย์ศัลยกรรมที่ใหญ่ที่สุดใจกลางสยามสแควร์
  •  ให้บริการด้านKLINIQ Wellness Spaเวลเนส ซึ่งถือเป็น Mega Trend สำคัญตอบโจทย์กลุ่มสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งมีกำลังซื้อมาก และยินดีสเปนด์เงินให้กับตัวเอง

​ในปี 2567 บริษัททุ่มงบรวม 500 ล้านบาท สำหรับการขยายสาขา 300 ล้านบาท สำหรับการขยายสาขาเพิ่ม 15-20 แห่ง เฉลี่ยสาขาละ 25-30 ล้านบาท ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด  ขณะที่ 200 ล้านบาทสำหรับการซื้อเครื่องมือที่เน้นนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเติม

​ด้านการตลาดและการสื่อสาร ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้าแบบ Omnichannel สร้างการรับรู้แบรนด์ และ Engagement กับลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ  แม้ลูกค้าต่างชาติจะยังเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบลูกค้าคนไทยที่มากถึง 90% แต่ลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนและประเทศเพื่อนบ้าน ล้วนมีกำลังซื้อสูง เป็น Tiers ระดับบนทั้งนั้น ปีนี้บริษัทรุกสื่อสารกับลูกค้าต่างชาติมากขึ้น ผ่านการทำโซเชียล จนถึงช่วงกลางปีจะเริ่มทำการตลาดกับลูกค้าชาวจีน

สัดส่วนลูกค้าแบ่งตามเพศสภาพ ยังคงเป็นกลุ่มผู้หญิงที่มากกว่า 75% ขณะที่ชายอยู่ที่ 25% ลดลงจากเดิมซึ่งอยู่ที่หญิง 90%  และกลุ่มลูกค้ายังมีอายุเด็กลงต่อเนื่อง

การศัลยกรรมในเกาหลีส่วนใหญ่จับกลุ่มลูกค้าระดับบน  ราคาต่างจากไทยเท่าตัว  ลูกค้าที่อยู่ในละแวก CLMV จึงเลือกมาใช้บริการศัลยกรรมที่ประเทศไทยมากกว่า  ทั้งยังมีชื่อเสียงเรื่องการศัลยกรรมจมูก ทรวงอก ซึ่งขณะนี้กำลังขยายไปในการทำศัลยกรรมตา การดูดไขมัน และศัลยกรรมอื่น ๆ เพิ่มเติม

ด้านการดูแลรักษาเรื่องผิวหนังความงามยังคงเน้นเรื่องการดูแลผิว แต่ต้องเป็นการดูดีจากภายใน เดิมลูกค้าอาจมุ่งเน้นการฉีดโบท็อกซ์ ฟีลเลอร์ แต่ตอนนี้เน้นการค่อย ๆ เริ่มฟื้นฟูจากภายในเป็นหลักมากกว่า ต้องการสิ่งที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น

THE KLINIQUE ตั้งเป้า 5 ปี จะพาตนเองเข้าสู่ธุรกิจ Wellness มากขึ้น เนื่องจาก Wellness เป็นตลาดใหญ่กว่า แต่กลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มเดียวกันกับธุรกิจเดิม เพราะคนเริ่มมองหาสิ่งที่อำนวยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น นอกเหนือจากความสวยเพียงอย่างเดียว เช่น การหลับลึก สมองปลอดโปร่ง

ปีนี้เดอะคลีนิกค์จะเปิดตัว “med spa” สาขาแรกที่สยาม ที่โดดเด่นด้วยการรักษา เช่น แก้ออฟฟิศซินโดรม รับ Medical Tourism

“5 ปีจากนี้ เดอะคลีนิกค์ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ 5% ของตลาดการแพทย์และความงามที่มีมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท เพื่อแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ  เพิ่มเรตการใช้ห้องศัลยกรรมให้คุ้มค่ามากขึ้น รวมทั้งหาพาร์ตเนอร์ในตลาด Wellness ที่จะเติบโตเป็น Inorganic Growth ในอนาคต” นายแพทย์อภิรุจกล่าวทิ้งท้าย

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer