อินเดียกำลังจัดการเลือกตั้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2024 นี้ Al Jazeera

 

อีกไม่นานนี้โลกกำลังจะมีข่าวใหญ่และคงเป็นข่าวที่ทั่วโลกให้ความสนใจจับตามอง เมื่อนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี (Narendra Mod) ของอินเดีย อาจจะประกาศสละตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2025 หลังจากบริหารอินเดียมายาวนานกว่า 10 ปี และทำให้อินเดียจากประเทศที่อยู่นอกสายตา เจริญรุ่งเรืองมาจนถึงวันที่บรรดาผู้นำโลกต้องขอคิวตบเท้าเข้ามาเยือนดินแดนภารตะแห่งนี้

แน่นอนว่าการประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายกฯ นเรนทรา ไม่ได้มีการประกาศเป็นสาธารณะหรือเป็นทางการแต่อย่างใด รวมถึงในตัวบทกฎหมายก็ไม่ได้มีการกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้ว่าจะต้องอยู่นานเพียงใด

แต่ตามธรรมเนียมของพรรคภารตียชนตา กำหนดอายุของผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง สส. ในโลกสภาเอาไว้ที่ไม่เกิน 75 ปี  ซึ่งในช่วงเดือนกันยายน 2025 นายกฯ นเรนทรา จะมีอายุครบ 75 ปีพอดี ก็เลยเป็นข่าวคราวออกมา สรุปว่าเขาจะสละบัลลังก์หรือไม่ โดยอาจมองหาผู้สืบทอดเป็นคนภายในพรรค หรือม้ามืดจากพรรคฝ่ายตรงข้ามจะมาแรงแซงโค้งเราก็ยังไม่ทราบได้

แต่ในตอนนี้ประเทศอินเดียกำลังอยู่ในระหว่างจัดการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไปที่มีระยะเวลาในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งยาวนานที่สุดในโลกด้วยเวลา 44 วัน หลายฝ่ายเชื่อว่า นี่คือการส่งสัญญาณการเปลี่ยนผ่านผู้นำครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของอินเดีย เรื่องนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าอินเดียยังอยู่ในมือนายกฯ โมดี เขาจะยังคงนโยบายทางการค้าและการต่างประเทศที่ยอดเยี่ยมแน่นอน แต่ถ้าไม่ใช่เขาอีกต่อไปแล้วล่ะ คนคนนั้นจะเป็นใคร แล้วดีพอที่จะมาแทนที่นายกฯ นเรนทรา โมดี หรือไม่ ติดตามจากบทความนี้

การเลือกตั้งที่ยาวนานที่สุดในโลก

ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีกระบวนการเลือกตั้ง ณ ปัจจุบันยาวนานที่สุดในโลก โดยแบ่งการดำเนินการออกเป็น 7 ระยะ กินระยะเวลายาวนานถึง 44 วัน

ระยะที่ 1  19 เมษายน 2024

ระยะที่ 2  26 เมษายน 2024

ระยะที่ 3  7 พฤษภาคม 2024

ระยะที่ 4  13 พฤษภาคม 2024

ระยะที่ 5  20 พฤษภาคม 2024

ระยะที่ 6  25 พฤษภาคม 2024

ระยะที่ 7  1 มิถุนายน 2024

 

การเลือกตั้งทั่วไปจะจัดขึ้นในอินเดียตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน ถึง 1 มิถุนายน 2024 เพื่อคัดเลือกสมาชิกโลกสภา 543 คน (สส.) และจะมีการนับคะแนนและประกาศผลในวันที่ 4 มิถุนายน 2024

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาระยะเวลาการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของอินเดียมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง การเลือกตั้งครั้งแรกของอินเดียเกิดขึ้นในปี 1951-1952 หลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษ  ในตอนนั้นพวกเขาใช้เวลาในการลงคะแนนเสียงเกือบ 4 เดือน ครั้งที่ 2 ถัดมาในปี 1980 อินเดียใช้เวลาในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไปเพียงแค่ 4 วัน ส่วนในปี 2019 ก่อนการระบาดของโควิดพวกเขาใช้เวลาการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไปถึง 39 วัน และสำหรับการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในปี 2024 นี้ถือเป็นปีที่มีระยะเวลาในการลงคะแนนเสียงยาวนานเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของอินเดียด้วยสถิติเวลา 44 วัน กับจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 969 ล้านคน

ส่วนเหตุผลว่าทำไมอินเดียถึงใช้เวลาในการเลือกตั้งนานขนาดนี้ หลัก ๆ ก็มาจาก 2 สาเหตุ หนึ่ง จำนวนประชากรที่มีสิทธิ์เลือกตั้งมากที่สุดในโลก สอง การขนส่งบัตรเลือกตั้งไปยังเขตเลือกตั้งต่าง ๆ กว่าจะครบทุกเขตย่อมต้องใช้เวลา และเพื่อให้ประชาชนทุกคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งได้ใช้สิทธิ์ของตัวเองดังนั้น การบริหารจัดการการเลือกตั้งจึงใช้เวลานาน

 

44 วัน 543 จังหวัด 57 เขตเลือกตั้ง และนี่คืออินเดีย: AP

 

การลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 543 คนสำหรับสภาผู้แทนราษฎรมีขึ้นใน 7 ระยะ 28 รัฐของอินเดียและดินแดนสหพันธรัฐ 8 แห่งจะลงคะแนนเสียงในเวลาที่ต่างกัน แต่ละช่วงมีหนึ่งวัน โดยครั้งแรกจะจัดขึ้นในวันที่ 19 เมษายน และครั้งสุดท้ายในวันที่ 1 มิถุนายน และมีกำหนดประกาศผลการเลือกตั้งในวันที่ 4 มิถุนายน 2024

 

จำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของอินเดีย 970 ล้านคนซึ่งมากที่สุดในโลก: AP

 

โลกสภา (Lok Sabah)

เรามาทำความรู้จักกับ โลกสภา กันก่อนสักนิด  โลกสภา หรือ สภาผู้แทนราษฎร เป็นสภาล่างของรัฐสภาอินเดีย ทำหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชนในการออกกฎหมาย ควบคุมการทำงานของรัฐบาล และอนุมัติงบประมาณ โลกสภาสมัยปัจจุบันคือสมัยที่ 17 มีระยะเวลา (สมัย) ตั้งแต่ 17 มิถุนายน 2019 จนถึง 16 มิถุนายน 2024

ความรุ่งเรืองที่นายกฯ นเรนทราได้สร้างไว้

ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้เราเคยเขียนถึงโครงการ One India ซึ่งมีที่มาจากดำริของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ที่ต้องการจะเห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชนชาวอินเดีย โดยไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ รวมไปถึงต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการเสริมโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นลงไปในวิถีชีวิตของชาวอินเดีย ซึ่งนี่อาจเป็นกุญแจสำคัญที่อาจทำให้นายกฯ นเรนทรา ได้ไปต่อในสมัยที่ 3 แห่งการเป็นประมุขใหญ่ของอินเดีย (ซึ่งก็จะขัดกับกฎของพรรค BJP เรื่องอายุ)

ตลอดระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี เป็นบุคคลสำคัญในการเมืองของอินเดีย โดยเป็นผู้บังคับบัญชาฐานสนับสนุนที่แข็งแกร่ง และทิ้งร่องรอยไว้บนการปกครองของประเทศอย่างไม่มีวันลบเลือน ความเป็นผู้นำของเขาโดดเด่นด้วยการปฏิรูปเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น นโยบายการต่างประเทศเชิงรุก และวิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนแปลงอินเดียไปสู่ดิจิทัล

ถึงแม้จะมีบ้างที่ในช่วงระยะเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งและการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 นโยบายทางสังคม และความท้าทายทางเศรษฐกิจ

ในขณะที่อินเดียเตรียมพร้อมสำหรับประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ก็พบว่าตัวเองอยู่บนทางแยก โดยมีแคนดิเดตผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อเติมเต็มสุญญากาศทางการเมืองจากการจากไปของนายกฯ นเรนทรา โมดี หากจะให้สรุปว่ามีโครงการระดับเมกะโปรเจกต์ใดบ้างที่นายกฯ โมดี ทำไว้และเปลี่ยนแปลงอินเดียไปมากจากอดีต

1. Mann Ki Baat รายการวิทยุรายเดือนที่นายกรัฐมนตรีจะสื่อสารกับประชาชน

2. Swachh Bharat Mission แคมเปญทำความสะอาดทั่วประเทศ

3. Make in India ส่งเสริมการผลิตและการลงทุนจากต่างประเทศ

4. Jan Dhan Yojana เปิดบัญชีธนาคารแบบไม่มีเงินฝากขั้นต่ำเพื่อรวมการเงิน

5. Ayushman Bharat ประกันสุขภาพสำหรับประชาชนรายได้น้อย

6. GST Implementation ระบบภาษีรวม

7. โครงสร้างพื้นฐาน ขยายการไฟฟ้าและการสร้างถนน

8. กฎหมาย Triple Talaq ห้ามการหย่าร้างแบบทันทีในชุมชนมุสลิม

9. วันโยคะสากล ส่งเสริมโยคะทั่วโลก

10. Digital India เพิ่มการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและบริการดิจิทัล

 

สิ่งที่นเรนทรา โมดี ทิ้งไว้ให้ผู้นำคนต่อไปมาสานต่อ

การเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนเรนทรา โมดี เมื่อปี 2014 นำความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมาสู่ประเทศอินเดีย ความเป็นผู้นำของนายกฯ โมดีโดดเด่นด้วยการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่หลายครั้ง ซึ่งรวมถึงการดำเนินการภาษีสินค้าและบริการ (Goods and Services Tax GST) และริเริ่มส่งเสริมความสะดวกในการทำธุรกิจ ในด้านนโยบายต่างประเทศ โมดีดำเนินจุดยืนที่แน่วแน่และเชิงรุก โดยกระชับความสัมพันธ์ของอินเดียกับมหาอำนาจสำคัญ ๆ ระดับโลก ขณะเดียวกันก็สนับสนุนอิทธิพลในระดับภูมิภาค

นอกจากนี้ เขายังริเริ่มโครงการ “Digital India” โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัล ถือเป็นจุดเด่นของวิสัยทัศน์ของโมดี สำหรับประเทศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม การดำรงตำแหน่งของเขายังถูกทำลายด้วยความขัดแย้ง เช่น การจัดการกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ซึ่งได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย และนโยบายของรัฐบาลในประเด็นทางสังคม รวมถึงกฎหมายว่าด้วยการแก้ไขความเป็นพลเมือง (CAA) และการยกเลิกมาตรา 370 ในชัมมูและแคชเมียร์

แม้จะมีความท้าทายต่าง ๆ มากมาย แต่ความเป็นผู้นำและความเก่งกาจของนายกฯ โมดี ก็สร้างมรดกทางผลงานเอาไว้ให้กับพรรค BJP และประวัติการเมืองอินเดียโดยรวมอย่างไม่ต้องสงสัย ความดึงดูดใจแบบประชานิยมและความสามารถในการเชื่อมต่อกับมวลชนได้เปลี่ยนรูปแบบการเล่าเรื่องทางการเมืองในอินเดีย ทิ้งผลกระทบที่ยั่งยืนต่อภูมิทัศน์ทางสังคมและการเมืองของประเทศ

 

ผู้สืบทอดจากพรรค BJP

หลังจากนายกฯ โมดี ผู้นำพรรคภารตียชนตา (BJP) ประกาศจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีก แคนดิเดตหลายคนจากพรรค BJP ก็ถูกหยิบมาเชื่อมโยงทันทีว่าอาจเป็นแคนดิเดตในการลงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้

โดยหนึ่งในผู้สมัครที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ อามิต ชาห์ (Amit Shah) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเป็นมือขวาสนิทของโมดี  ชาห์มีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์นำพา BJP คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งหลายครั้ง แต่ก็มีประเด็นวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนโยบายแนวร่วมชาตินิยมฮินดูที่ถูกมองว่าแบ่งแยกสังคมอินเดีย

 

ความสนิทสนมของ Modi และ Amit Shah อาจส่งให้ Shah ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ คนต่อไปของอินเดียได้ไม่ยาก: Hindu

 

อีกหนึ่งชื่อที่ได้รับการจับตามองคือ ราชนาถ ซิงห์ (Rajnath Singh) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เขาเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของ BJP มีภาพลักษณ์ผู้นำที่แข็งแกร่งในประเด็นความมั่นคง แม้จะมีผลงานการบริหารที่ประสบความสำเร็จ แต่เขาก็เคยตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายตรงข้ามว่ามีแนวคิดสุดโต่งเกินไป

การเลือกผู้นำคนใหม่ของอินเดียในครั้งนี้ถือเป็นการทดสอบทิศทางการเมืองของประเทศกับพรรค BJP ที่มุ่งรักษาอำนาจและสานต่ออุดมการณ์แนวร่วมชาตินิยมฮินดูของโมดีไปพร้อมกัน

 

Amit Shah แคนดิเดตเบอร์ 1 ในตำแหน่งนายกฯ แห่งอินเดีย NDTV

 

 อามิต ชาห์ (Amit Shah) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบันของอินเดีย และเป็นคนใกล้ชิดและเป็นเหมือนมือขวาของนายกฯ โมดี ถือเป็นผู้นำในตำแหน่งสูงสุด  ชาห์ เป็นที่รู้จักจากความเฉียบแหลมทางการเมืองและความกล้าหาญเชิงกลยุทธ์ โดยมีบทบาทสำคัญจากความสำเร็จในการเลือกตั้งของ BJP วิสัยทัศน์ของเขาในด้านธรรมาภิบาลและลำดับความสำคัญด้านนโยบาย ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิด นี่คือตัวเต็งเบอร์ 1 ที่ถูกคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาแทนนายกฯ โมดี ภายหลังศึกการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งนี้

อามิต ชาห์ เกิดเมื่อปี 1964 ในรัฐคุชราต เขาเข้าร่วมองค์กรนักศึกษาของ BJP ตั้งแต่วัยรุ่น ก่อนจะก้าวเข้าสู่การเมืองระดับชาติในปี 1997 โดยได้รับเลือกเป็นสมาชิกรัฐสภาจากพรรค BJP

ชาห์เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรค BJP ในรัฐคุชราต และมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้นเรนทรา โมดี เป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐคุชราตในช่วงปี 2002-2014 หลังจากนั้นเขาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานพรรค BJP ระดับประเทศในปี 2014

ในฐานะหัวหน้าพรรค ชาห์เป็นผู้วางกลยุทธ์การหาเสียงสำคัญที่ทำให้ BJP ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปของอินเดียในปี 2014 และ 2019 อย่างถล่มทลาย จากนั้นเขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในตำแหน่งสำคัญของรัฐบาล

อามิต ชาห์เป็นที่รู้จักในฐานะผู้สนับสนุนนโยบายแนวร่วมชาตินิยมฮินดูของ BJP อย่างเต็มที่ เขาเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการใช้นโยบายแบ่งแยกสังคมเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง รวมถึงการปราบปรามผู้ชุมนุมในกรุงนิวเดลีเมื่อปี 2020 อย่างรุนแรง  ด้วยประสบการณ์และบทบาทผู้นำสูงสุดของพรรค BJP อามิต ชาห์จึงได้รับการจับตามองว่าน่าจะเป็นตัวเก็งลำดับต้น ๆ ในการสืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากนเรนทรา โมดี

Rajnath Singh เบอร์ 2 ที่มีโอกาสขึ้นมาท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอินเดีย NDTV

 

ราชนาถ ซิงห์ (Rajnath Singh) รัฐมนตรีว่าการกลาโหมคนปัจจุบันของอินเดีย เป็นนักการเมืองผู้มีประสบการณ์ด้านการบริหารมาอย่างยาวนาน ความดึงดูดใจของเขาต่อฐานเสียง BJP แบบดั้งเดิมและความสามารถของเขาในการเป็นกาวใจประสานความแตกแยกภายในพรรคสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขามีคุณค่าอย่างยิ่งในการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 15 ของอินเดีย

ราชนาถ ซิงห์ เกิดเมื่อปี 1951 ในรัฐอุตตรประเทศ เป็นสมาชิกพรรค BJP มาตั้งแต่อายุยังน้อย และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรีวาจปายี ในช่วงปี 1999-2004 หลังจากนั้นซิงห์ก็ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐอุตตรประเทศหลายสมัย ก่อนจะกลายเป็นประธานพรรค BJP ในปี 2005-2009 และ 2013-2014 โดยในสมัยหลังนี้เองที่เขาผลักดันให้นเรนทรา โมดีลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

เมื่อ BJP ได้รับชัยชนะในปี 2014 ซิงห์ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญในการวางนโยบายความมั่นคงของประเทศ ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งนี้ซิงห์มีบทบาทสนับสนุนการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของอินเดีย พร้อมเรียกร้องให้มีการเจรจาหยุดยิงกับปากีสถานบ่อยครั้ง

นอกจากนี้ ซิงห์ยังแสดงจุดยืนชัดเจนในการสนับสนุนนโยบายแนวร่วมชาตินิยมฮินดูของ BJP ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นแนวคิดที่สุดโต่งที่มุ่งแบ่งแยกชาวมุสลิมในประเทศ ด้วยประสบการณ์ทางการเมืองและเป็นหนึ่งในผู้นำระดับบนของ BJP  ราชนาถ ซิงห์จึงมีโอกาสสูงที่จะได้รับการพิจารณาให้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของอินเดีย

ฝ่ายค้านเตรียมขึ้นท้าชิง

นอกจากผู้สมัครจากพรรค BJP แล้วตัวเต็งสำคัญจากฝ่ายค้านก็มีชื่อสอดแทรกขึ้นมาเพื่อท้าชิงให้เห็นอยู่ไม่น้อย หนึ่งในผู้นำที่น่าจับตามองมากที่สุดคือ ราหุล คานธี (Rahul Gandhi) หลานชายของนายกรัฐมนตรีอินเดียเพียงคนเดียวในตระกูลคานธี ตระกูลเก่าแก่ผู้สร้างชาติ ด้วยเสียงสนับสนุนจากกลุ่มคนหนุ่มสาว  ราหุลพยายามนำพรรคคองเกรสแห่งชาติ (Indian National Congress) กลับสู่อำนาจหลังล้มเหลวในการเลือกตั้งหลายสมัย

นอกจากนี้ ผู้นำพรรคค้านรายอื่น ๆ อย่าง ซามาจ วาดี และอาร์วินด์ เคจรีวาล ผู้นำพรรคอาม อาดมี (AAP) ก็มีชื่อเป็นตัวเก็งน่าจับตามองเช่นกัน พวกเขาต่างผลักดันนโยบายที่แตกต่างจากแนวร่วมชาตินิยมฮินดูของ BJP ด้วยวาระเน้นหนักประเด็นเศรษฐกิจ, การคอร์รัปชัน และสิทธิพลเมือง

การเลือกผู้นำคนใหม่ครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่กำหนดทิศทางการเมืองของอินเดียเท่านั้น แต่ยังเป็นการชี้ชะตากระแสประชาธิปไตยในประเทศผู้มีประชากรเกือบ 1.4 พันล้านคนนี้อีกด้วย

ในขณะที่ BJP ต่อสู้กับความท้าทายในการหาผู้สืบทอดที่เหมาะสม พรรคฝ่ายค้านก็กำลังวางกลยุทธ์เพื่อช่วงชิงตำแหน่งนายกฯ ของตัวเองเพื่อคว้าโอกาสจากการลงจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีโมดี

Rahul Gandhi

ราหุล คานธี หลานชายของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้สร้างชาติ มหาตมะ คานธี: economictimes

 

ราหุล คานธี (Rahul Gandhi) เกิดเมื่อปี 1970 เป็นบุตรชายของราชีพ คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย และเป็นหลานชายของอินทิรา คานธี นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอินเดีย ราหุลจึงมาจากตระกูลการเมืองผู้นำสำคัญของอินเดียในอดีต

หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ราหุลเข้าสู่วงการเมืองในปี 2004 โดยได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนพรรคคองเกรส ก่อนจะขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานพรรคในปี 2007 และขึ้นสู่ตำแหน่งประธานพรรคเมื่อปี 2017

ในฐานะผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ราหุลวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลนายกฯ โมดีอย่างหนัก โดยเฉพาะกรณีการยกเลิกสถานะพิเศษของรัฐชัมมูร์และแคชเมียร์ รวมถึงประเด็นเศรษฐกิจ และการจัดการวิกฤตโควิด-19  อย่างไรก็ตาม ราหุลประสบความล้มเหลวในการนำพาพรรคคองเกรสคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปหลายครั้ง ทั้งปี 2014 และ 2019 จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความสามารถทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง

นอกจากการเมือง ราหุลยังเป็นผู้สนับสนุนเรื่องสิ่งแวดล้อม สันติภาพ และเสรีภาพของสื่อ เขามีฐานเสียงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่และผู้สนับสนุนแนวประชาธิปไตยนิยม แต่ก็ถูกคนอีกกลุ่มมองว่ามีแนวคิดเสรีนิยมเกินไป

 

Arvind Kejriwal

Arvind Kejriwal เคยต้องคดีข้อหาคอร์รัปชันเมื่อต้นปีที่ผ่านมา: Mint

 

อาร์วินด์ เคจรีวาล (Arvind Kejriwal) หัวหน้าคณะรัฐมนตรีของกรุงเดลีและผู้นำพรรค Aam Aadmi Party (AAP) ผู้ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในเขตการปกครองของเขาในเมืองหลวงของประเทศ และจุดยืนต่อต้านการทุจริตของเขา การอุทธรณ์ของเขาต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเมืองและชนชั้นกลางอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดภูมิทัศน์ทางการเมืองหลังยุคโมดี หลังจากนั้นเคจรีวาลก็ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งปี 2015 และ 2020 จนได้นั่งเก้าอี้หัวหน้าผู้บริหารกรุงนิวเดลีต่อเนื่อง  เขามีผลงานโดดเด่นในการปฏิรูประบบการศึกษาและสาธารณสุขของกรุงนิวเดลี นอกจากนี้ เคจรีวาลยังเป็นผู้นำที่มีวาทศิลป์เฉียบแหลม วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลกลางอย่างไม่เกรงกลัว จนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของพรรค BJP ในเวทีการเมืองระดับชาติ

ในขณะที่อินเดียเริ่มต้นการเดินทางครั้งสำคัญในการเลือกผู้นำคนต่อไป ปัจจัยสำคัญหลายประการจะกำหนดกระบวนการตัดสินใจเลือกผู้นำคนใหม่แห่งอินเดีย คุณสมบัติความเป็นผู้นำ เช่น วิสัยทัศน์ ความซื่อสัตย์ และทักษะการกำกับดูแล จะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการพิจารณาความเหมาะสมของผู้ที่มีศักยภาพ ความสามารถในการนำทางพันธมิตรที่ซับซ้อนและสร้างพันธมิตรในภูมิทัศน์ทางการเมืองที่หลากหลายก็จะได้รับการพิจารณาที่สำคัญกำหนดได้ว่าใครจะเป็นแคนดิเดตบนเส้นทางนี้

ผู้นำคนต่อไปของอินเดียต้องมีความสามารถในการรวมกลุ่มประชากรต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งอินเดียเหนือและอินเดียใต้ (เพราะจากนโยบาย One India ของนายกฯ นเรนทรา อาจทำให้อินเดีย เหนือกับใต้ขัดแย้งกันเองจากเรื่องการเก็บภาษีและการนำเงินภาษีไปสนับสนุน) รวมถึงเรื่องเยาวชน ผู้หญิง และชุมชนชายขอบ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการโน้มน้าวผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

สุดท้ายการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายและการจัดตำแหน่งผู้นำที่มีศักยภาพให้สอดคล้องกับความต้องการในอนาคตของอินเดีย รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม และตำแหน่งระดับโลก จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของประเทศในยุคหลังยุคนายกฯ โมดี

ในขณะที่ BJP ต่อสู้กับความท้าทายในการหาผู้สืบทอดที่เหมาะสม พรรคฝ่ายค้านก็กำลังวางตำแหน่งตัวเองเพื่อคว้าโอกาสที่ได้รับจากการจากไปของโมดี ปัจจัยต่าง ๆ เช่น คุณสมบัติความเป็นผู้นำ การอุทธรณ์ต่อสาธารณะ และลำดับความสำคัญของนโยบายจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวทางในอนาคตของประเทศ และไม่ว่าผู้นำคนต่อไปของอินเดียจะเป็นใคร ย่อมมีผลต่อทิศทางของประเทศอินเดียอย่างแน่นอน ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม และตำแหน่งในเวทีระดับโลก

ในขณะที่อินเดียซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลกเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ทุกสายตาของประเทศและประชาคมระหว่างประเทศจะจับตาดูบทประวัติศาสตร์การเมืองอินเดียครั้งนี้อย่างใกล้ชิดแน่นอน


เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ


https://www.economist.com/asia/2024/05/13/who-could-replace-narendra-modi

https://apnews.com/article/india-election-2024-explainer-41d7aa3131dc0c7e0df1ea4be6b6a4c7

https://www.deccanherald.com/specials/10-best-initiatives-modis-712563.html

https://en.wikipedia.org/wiki/17th_Lok_Sabha

https://apnews.com/article/india-election-2024-explainer-41d7aa3131dc0c7e0df1ea4be6b6a4c7

https://apnews.com/article/india-general-elections-2024-52fe2ee3260624c1658bacdbb1bd15a5

https://en.wikipedia.org/wiki/2024_Indian_general_election

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer