PM 2.5 ภัยร้ายใกล้ตัวที่แก้ไขได้ด้วยการปลูกกาแฟ มาทำความรู้จัก โครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน จาก OR กัน
สืบเนื่องจากวันที่ 5 มิถุนายน ถือเป็น ‘วันสิ่งแวดล้อมโลก’ และ Marketeer มีโอกาสได้ดูหนังโฆษณา “จุดเริ่มต้นของโอกาส” ของ OR แล้วรู้สึกสงสัยใน Wording ที่ว่า “กาแฟแก้วเล็ก ๆ เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่
Marketeer พาคุณผู้อ่านเจาะลึก โครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน (Sustainable Coffee Project) ไปพร้อม ๆ กัน
ในยุคที่มองด้วยตาเปล่าผู้คนสามารถรับรู้ได้ว่า ฝุ่น PM 2.5 กลายเป็นปัญหาและภัยคุกคามหลักต่อสุขภาพของคนไทย ไม่ว่าจะอยู่จุดไหน ในเมือง นอกเมือง หรือต่างจังหวัด ทุกคนต่างได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนทั่ว และหนึ่งในสาเหตุหลักคือการเผาป่าและพื้นที่การเกษตรเพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการปลูกในฤดูกาลใหม่ โดยเฉพาะในภาคเหนือของประเทศไทย
ภายใต้การดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ผ่านแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน (OR SDG) และในฐานะที่เป็นแบรนด์ที่เกี่ยวข้องและมองเห็นการขับเคลื่อนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของธุรกิจ OR ตระหนักถึงปัญหาและดำเนินการแก้ไขปัญหาเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดกับ โครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน (Sustainable Coffee Project) ที่เรียกได้ว่า OR กระโดดเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างเต็มตัวอีกครั้ง โดยลงพื้นที่ ต.ท่าผา อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ และ อ.ปัว จ.น่าน ไปศึกษาปัญหาอย่างจริงจังโดยละเอียดในทุกมิติ
พร้อมให้ความรู้แก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ทั้งเรื่องการปลูกกาแฟร่วมกับไม้ร่มเงา (พืชเศรษฐกิจ) เพื่อช่วยลดการเผาป่าทำไร่เลื่อนลอย ลดการใช้สารเคมียาฆ่าแมลง ทำให้ลดมลพิษต่าง ๆ ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น จนถึงการรับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรโดยตรงด้วยราคาที่เป็นธรรม (Fair Trade) เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับเกษตรกร
สรุปง่าย ๆ สิ่งที่ OR กำลังทำ คือการเปลี่ยนผ่านสู่วิถีการเกษตรอย่างยั่งยืน เกษตรกรไม่ต้องพึ่งพาการเผาพื้นที่เกษตรแบบเดิม ๆ อีกต่อไป นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 และมลพิษทางอากาศในระยะยาว
ทีนี้มาเจาะลึกว่าการแก้ปัญหา PM 2.5 ระยะยาวในแต่ละพื้นที่นั้นเป็นอย่างไร

120 กิโลเมตร อุปสรรคของคนปลูกกาแฟ ต.ท่าผา อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
ในอดีตชุมชนบ้านสามสบ และ บ้านแม่ยางส้าน ต.ท่าผา อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เคยได้รับการส่งเสริมให้ปลูกกาแฟสายพันธุ์อะราบิกากันเกือบทุกครัวเรือน แต่ด้วยระยะทางกว่า 120 กิโลเมตรจากอำเภอเมืองเชียงใหม่ ประกอบกับการเดินทางที่ลำบากจึงไม่ค่อยมีพ่อค้าและตลาดเข้าไปรับซื้อผลผลิตในพื้นที่ และผลผลิตที่ขายได้ก็มักจะถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง
ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงเลิกและตัดต้นกาแฟทิ้งกันเกือบหมด หันไปทำไร่ข้าวโพด ฟักทอง หอมแดง และข้าวไร่ แทน จนเกิดการถางป่าในพื้นที่ป่าต้นน้ำเป็นจำนวนมาก มีการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงอย่างรุนแรงเพื่อเร่งปริมาณผลผลิต ส่งผลต่อการสะสมของสารเคมีในดิน และตามมาด้วยปัญหาด้านสุขภาพของตัวเกษตรกร
OR โดยความเชี่ยวชาญของ Café Amazon จึงได้เข้าไปดำเนินการโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน ณ ที่แห่งนี้ โดยมีความตั้งใจและมีเป้าหมายสำคัญเพื่อขยายผลองค์ความรู้การทำงานพัฒนาการปลูกและการผลิตกาแฟร่วมกับภาคีเครือข่ายในหลายพื้นที่เพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ที่ยังขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะความรู้ได้มีองค์ความรู้ในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน
อีกหนึ่งผลลัพธ์ที่ได้ คือ เป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรให้ปลูกและผลิตกาแฟให้ได้ผลผลิตกาแฟที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ควบคู่การอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยนำต้นแบบการปลูกกาแฟภายใต้ไม้ร่มเงา (ไม้เศรษฐกิจ) มาส่งเสริมในพื้นที่
ขยายโครงการไปยัง อ.ปัว จ.น่าน
นอกจากนี้ OR ได้ขยายโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืนไปยังพื้นที่ อ.ปัว จ.น่าน โดยร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาและส่งเสริมการปลูกกาแฟควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ ได้มอบโรงเพาะกล้า โรงตากกาแฟ และระบบท่อน้ำเพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการปลูกกาแฟให้แก่เกษตรกรในพื้นที่
ทั้งนี้ ยังได้จัดตั้งโรงแปรรูปเมล็ดกาแฟ Café Amazon ตั้งอยู่ที่ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดรับซื้อผลผลิตเมล็ดกาแฟอะราบิกาในพื้นที่ภาคเหนือ จากเกษตรกรผู้ปลูกโดยตรงในราคาที่เป็นธรรม และเป็นสถานที่แปรรูปเป็นกาแฟสารที่มีคุณภาพ ก่อนที่จะจัดส่งให้โรงคั่วกาแฟ Café Amazon เพื่อคั่วและจำหน่ายไปยังร้าน Café Amazon ทั่วประเทศ และยังเป็นศูนย์พัฒนาทักษะความรู้ในการปลูก ผลิตและแปรรูปกาแฟให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานเพื่อความยั่งยืนอีกด้วย

แน่นอนว่า โครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน (Sustainable Coffee Project) นั้นสอดคล้องกับแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน OR SDG ทั้งในด้าน “S” หรือ “SMALL” ที่มุ่งเน้นการให้โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก ด้าน “D” หรือ “DIVERSIFIED” ที่มุ่งสร้างโอกาสเพื่อทุกการเติบโตทุกรูปแบบ และด้าน “G” หรือ “GREEN” ที่มุ่งสร้างโอกาสเพื่อสังคมสะอาด
เพื่อมุ่งสู่ Low Carbon Business ตามเป้าหมายของ OR 2030 Goals และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2573 ตลอดจนมุ่งสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2593

มาถึงตรงนี้เราพอมองออกแล้วว่า การปลูกกาแฟเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 นั้นเป็นอย่างไร และคำพูด “กาแฟแก้วเล็ก ๆ เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้” ในหนังโฆษณา “จุดเริ่มต้นของโอกาส” มีความหมายลึกซึ้งเพียงใด
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
