หนังไทยอยู่ในยุคซบเซา มีหนังเข้าโรงภาพยนตร์น้อยลง แถมรายได้แต่ละเรื่องก็น้อยลง ทำให้ปี 2018 ถูกคาดการณ์ว่าจะมีหนังไทยเข้าโรงภาพยนตร์ไม่ถึง 40 เรื่อง แม้ต้นปีจะมีหนังอนิเมชั่น 9 ศาสตราที่มีรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท นอกนั้นยังไม่มีวี่แววว่าจะมีหนังไทยเรื่องไหนทำเงินแตะ 100 ล้านบาท แม้แต่หลวงพี่แจ๊ส 5G ที่ในภาคก่อนๆ ที่เคยทำรายได้ถล่มทลายยังต้องปิดฉากตัวเองมีรายได้ไม่ถึง 10 ล้านบาทในปีนี้ แต่แล้ว GDH ก็ทำให้ผู้กำกับคนอื่นเขาดูว่าหนังไทยไม่ใช่คนไทยจะไม่ดูในยุคนี้เมื่อส่ง น้องพี่ที่รัก ลงสนามในโรงภาพยนตร์เพียงแค่ 5 วันทำรายได้ 79 ล้านบาท แน่นอนหนังเรื่องนี้จะทะลุ 100 ล้านบาทได้ไม่ยาก
ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งของความสำเร็จ น้องพี่ที่รัก มาจาก 3 ดารานำอย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์, นิชคุณ หรเวชกุล และ อุรัสยา สเปอร์บันต์ ที่ก่อนหนังจะฉายพร้อมใจกันโพสใน Instagram ตัวเองที่มีคนติดตามเป็นหลัก 1 – 2 ล้านโปรโมตภาพยนตร์แบบ Tie in เบาๆ ขณะเดียวกันทางค่าย GDH ก็ปล่อยคลิปโปรโมตในออนไลน์ พร้อมกับซื้อสื่อออฟไลน์ต่างๆ
จนทำให้หนังฉายวันแรกโกยเงินไป 13 ล้านบาทแซงหน้า Avenger Infinity War ที่กระแสเริ่มลง พร้อมกับเหล่าบรรดาเพจหนังยังช่วยส่งต่อด้วยการให้คะแนนรีวิว 8 – 9 เต็ม 10 เรียกว่า “อวยกันสุดฤทธิ์” จนทำให้คนอยากรู้ว่าหนังดีแค่ไหน เลยต่างตีตั๋วเข้าชม
แต่ที่สำคัญกว่าการบิวด์กระแสนั้นคือ Content ภาพยนตร์ที่ถูกจริตผู้ชม ที่ว่ากันว่าหักมุมแบบโค้งหักศอกเลยทีเดียวจากหนังตลกคอมเมดี้กลายเป็นหนังดราม่าความรักของพี่น้องซะอย่างงั้น
และเพื่อตอกย้ำว่าหนังไทยยังสามารถมีชีวิตได้บนแผ่นฟิล์ม แต่ต้องอยู่ในข้อแม้ว่าต้องทำหนังให้ดีไม่สุกเอาเผากิน เพราะเวลานี้ The Hollywood Reporter รายงานว่าในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ “น้องพี่ที่รัก” ได้เจรจาขายลิขสิทธิ์เพื่อนำไปฉายในประเทศจีน และไต้หวัน โดยมีกำหนดฉายภายในปีนี้ ซึ่งเป็นการสานต่อความสำเร็จที่ “ฉลาดเกมส์โกง” เคยทำเอาไว้ในปีที่แล้ว
หลายคนอาจจะมองว่า เพราะคือหนังของค่าย GDH ที่มีรากฐาน Branding ที่ดีตั้งแต่สมัยยังเป็นค่าย GTH เพราะมีแฟนคลับฐานคนดูแข็งแกร่งค่อยติดตามผลงานต่อเนื่อง โดยไม่ต้องออกแรงโปรโมทภาพยนตร์อะไรมากมาย หนังก็จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่ GDH จะไม่พลาดท่าอย่างภาพยนตร์เรื่องที่อย่าง “เพื่อนที่ระลึก” ทำรายได้แค่ 35 ล้านบาทซึ่งทางทีมผู้บริหาร GDH ก็ยอมรับว่าเป็นการขาดทุน
สะท้อนให้เห็นว่าต่อให้เป็นค่ายหนังที่ Branding แข็งแกร่งก็ใช่ว่าจะทำหนังแล้วไม่ขาดทุน ในมุมกลับกันค่ายหนังอื่นๆ ก็ต้องวิเคราะห์ทิศทางผู้ชมแล้วว่าต้องการอะไร แล้วสร้างหนังที่ถูกจริตผู้ชม ที่มาพร้อมความแตกต่าง
เป็นภูมิคุ้มกันคำว่า “เจ๊ง” ได้ดีในระดับหนึ่ง แล้วถ้ารู้จักต่อยอดไปสู่การขายสิทธิ์ในการฉายต่างประเทศนั้นคือโอกาสในการโกยรายได้อีกมหาศาล
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น Content ก็ต้องสร้างความแปลกใหม่ ไม่ใช่วนอยู่แค่แนว ผีๆ เพศที่สาม,หนังพระ,หรือหนังตลกมุกแป๊กๆ
Website : Marketeeronline.co /
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ