Trend/หลังจีนก้าวขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจใหม่ของโลกในทุกด้านแล้วอย่างชัดเจน ทุกประเด็นที่เกี่ยวกับ “แดนมังกร” ก็ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก
โดยหนึ่งในประเด็นที่ถูกจับตามองมากสุดคือ วิกฤตประชากร แต่ล่าสุดเผชิญความท้าทายหนักขึ้นไปอีก เพราะคู่รักหันไปเลี้ยงเจ้าสี่ขาขนปุยแทนการมีลูกกันมากขึ้น

คู่รักรุ่นใหม่ชาวจีน อายุระหว่าง 20-34 ปี หรือกลุ่ม Gen Z และ Gen Y แม้อยู่ด้วยกันและแต่งงานแล้ว แต่พวกเขากลับไม่มีลูกและหันไปเลี้ยงสัตว์เป็นลูกแทน
Goldman Sachs ยักษ์วาณิชธนกิจสหรัฐฯ ประเมินว่า ภายในสิ้นปี 2024 จำนวนสัตว์เลี้ยงในเขตเมืองใหญ่ ๆ ของจีนจะมีมากจนแซงหน้าจำนวนเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี
และเมื่อถึงปี 2030 จำนวนสัตว์เลี้ยงในเขตเมืองของจีนจะเพิ่มขึ้น ๆ จนเพิ่มมากเป็น 2 เท่าของจำนวนเด็กเล็กทั่วประเทศ ซึ่งยังส่งผลสืบเนื่องให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 16%

จนเมื่อถึงปี 2030 มูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระหว่าง 12,000 ถึง 15,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 398,000 ถึง 498,000 ล้านบาท) และแน่นอนว่าส่งผลดีต่อธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการดูแลสัตว์เลี้ยง หรือ Pet Economy
ตั้งแต่ร้านรับฝากและดูแลสัตว์เลี้ยง ธุรกิจถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง หรือแม้กระทั่งบริษัทสืบหาสัตว์เลี้ยงที่หายให้ขยายตัว ขณะที่ห้างสรรพสินค้าก็มีการปรับพื้นที่เพื่อดึงดูดลูกค้าที่มีสัตว์เลี้ยงให้เข้ามาใช้บริการมากขึ้นด้วย
ชาวจีนเรียกเทรนด์ดังกล่าวว่า เหมา ไฮ ซี ซึ่งแปลเป็นไทยได้ประมาณว่า เด็กน้อยขนปุย โดยมีที่มาจากบรรดา Gen Z และ Gen Y เห็นว่า สัตว์เลี้ยงเหล่าคือส่วนเติมเต็มในการสร้างครอบครัวเพราะไม่เป็นภาระมากเกินไป
ท่ามกลางปัญหาค่าครองชีพ อัตราการว่างงานที่สูง และวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับทัศนคติต่อสัตว์เลี้ยงในหมู่ชาวจีนรุ่นใหม่ ๆ ที่ต่างไปจากของคนรุ่นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย หรือ Gen X และ Babyboom
ซึ่งยังมองว่า สัตว์เลี้ยงเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยของชนชั้นกลางหรือมีไว้เพื่อเฝ้าบ้านเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลอีกว่า จีนเป็นประเทศลำดับต้น ๆ ที่ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกแพงสุดในโลก จนกำลังจะแซงหน้าออสเตรเลียกับฝรั่งเศสในอีกไม่ช้า
ด้าน CNN สำนักข่าวดังของสหรัฐฯ ย้ำถึงการเติบโตของเทรนด์ดังกล่าว ผ่านทัศนะของคู่สามีภรรยาที่เลี้ยงหมาแทนลูกมากถึง 6 ตัวว่า ไม่ว่าอย่างไรประชากรจีนก็คงจะเพิ่มขึ้นอยู่ดี ผ่านคู่รักและครอบครัวเพื่อนร่วมชาติ

แต่หนึ่งในนั้นคงไม่มีครอบครัวของตนรวมอยู่ด้วย เพราะเลือกที่จะอยู่ในเทรนด์ เหมา ไฮ ซี ต่อไปมากกว่า
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนคงไม่พอใจกับการที่เทรนด์ เหมา ไฮ ซี บูมขึ้นมา เพราะจะไปฉุดให้อัตราการเกิดที่ต่ำอยู่แล้ว ยิ่งต่ำลงไปอีก
จนแผนการเพิ่มประชากรเพื่อช่วยผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้า ทั้ง ๆ ที่ปี 2016 ยกเลิกนโยบายลูกคนเดียว ที่ใช้มาตั้งแต่ยุค 60 เมื่อครั้งเหมา เจ๋อตุงยังปกครองประเทศ
และพอถึงปี 2022 ก็ไฟเขียวให้มีลูกได้เพิ่มเป็น 3 คน พร้อมนโยบายจูงใจและความช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้คู่รักแต่งงาน สร้างครอบครัวและมีลูกมาก ๆ แต่ดูเหมือนว่ายังไม่ได้ผล
โดยหลักฐานยืนยันคือ เมื่อปี 2023 จีนเสียแชมป์ประเทศที่มีประชากรมากสุดในโลกให้อินเดียไป
จากนี้มีแนวโน้มว่า รัฐบาลจีนคงทำทุกทางเพื่อเพิ่มอัตราการเกิด ดันจำนวนประชากรให้สูงขึ้น หรือปิดกั้นไม่ให้เด็กแรกเกิดย้ายไปต่างประเทศ
ซึ่งหนึ่งในนโยบายที่เริ่มเดินหน้าแล้วคือ ยกเลิกการส่งเด็กแรกเกิดหรือเด็กเล็กซึ่งพ่อแม่เลี้ยงดูไม่ไหวให้สถานรับเลี้ยง ที่จะส่งต่อให้ประเทศตะวันตกมารับไปเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งทำกันมาตั้งแต่ยุค 90
ส่วนการเลี้ยงสัตว์แทนลูกนั้นก็ต้องจับตาดูว่าจะถูกจัดระเบียบหรือไม่/cnn, dw
–
