โดย ศ. วิทวัส รุ่งเรืองผล

ภาควิชาการตลาด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรรมการการบริหารสมาคมการตลาด แห่งประเทศไทย

ผมได้รับการติดต่อจากบรรณาธิการ Marketeer ที่ผมรู้จักมายาวนาน ส่งกรณีศึกษาจากการที่มีผู้ประกอบการรายหนึ่งโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ว่า บริษัทเขาโดนสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เรียกไปปรับ จากการที่นำสินค้าของบริษัทมาขายผ่านเว็บไซต์ของบริษัท ในข้อหาทำผิด ไม่จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการการตลาดแบบตรง (Direct Marketing)  ตาม พ.ร.บ. ขายตรงและตลาดแบบตรง

อ่าน: https://www.facebook.com/share/p/iPHpXethBmiwSKEh/

ผู้ประกอบการรายนี้โดนค่าปรับไปเป็นหลักแสน และยังอธิบายต่อว่าพอตรวจสอบกับ เพื่อนผู้ประกอบการธุรกิจ หลายรายก็โดนจดหมายเรียกไปเสียค่าปรับเช่นกัน โดย ผู้ประกอบการท่านนี้อธิบายว่าทั้งเขาและเพื่อน ๆ ที่ประกอบธุรกิจไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า มีกฎหมายในลักษณะเช่นนี้มาก่อน ถามไปที่ สคบ. ว่าทำไมถึงเรียกบริษัทเขา ก็ได้คำตอบว่ามีผู้ชี้เบาะแส โดยผู้ชี้เบาะแสได้ส่วนแบ่งจากค่าปรับร้อยละ 25

จากข้อมูลดังกล่าว Marketeer ขอให้ผมช่วยให้ความเห็นในฐานะที่เคยเป็นกรรมการว่าด้วยการขายตรงและการตลาดแบบตรง ของ สคบ. มาก่อน ซึ่งต้องบอกก่อนนะครับว่า ผมพ้นจากตำแหน่งกรรมการชุดนี้มาน่าจะประมาณ 10 กว่าปีแล้ว กฎหมายและระเบียบหลายตัวก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  ผมเลยต้องทำการบ้าน ด้วยการไปศึกษาข้อกฎหมาย และกรณีศึกษารวมถึงสอบถามเจ้าหน้าที่ สคบ. ที่ผมเคยร่วมงานด้วย ข้อสรุปมีดังนี้ครับ

การขายของออนไลน์ ถือว่าเข้าข่ายการตลาดแบบตรง ตามกฎหมายต้องยื่นเอกสารเพื่อขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)  (อ้างอิง พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2560) แต่มีการกำหนดข้อยกเว้นไว้ สำหรับบุคคลธรรมดาหากมียอดขายผ่านระบบออนไลน์ไม่เกินปีละ 1.8 ล้านบาท และสำหรับผู้ประกอบการ SMEs โดยต้องเข้าคุณสมบัติ SMEs ตามกฎหมาย (อ้างอิงกฎกระทรวง ปี 2561)

ประเด็นต่อมาคือ ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องไปจดทะเบียนกับ สคบ. ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ตรงนี้ต้องกลับไปดูกฎหมายเกี่ยวกับส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย คือ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม (สสว.) ที่มีการออกนิยามของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (พ.ศ. 2562) ที่กำหนดนิยามของ SMEs ไว้ว่า

ภาคการผลิต การจ้างงาน (คน) น้อยกว่า 200 คน/รายได้ (ล้านบาท) ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

ภาคการบริการและการค้า การจ้างงาน (คน) น้อยกว่า 100 คน/รายได้ (ล้านบาท) ต่ำกว่า 300 ล้านบาท หากตัวเลขการจ้างงานอยู่ในเกณฑ์ แต่รายได้เกินเกณฑ์ขั้นต่ำให้ยึดรายได้เป็นหลัก

ส่วนหลักฐานการเป็นผู้ประกอบการ SMEs นั้น เท่าที่ผมอ่านจากประกาศของ สสว. เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ เข้าไปขึ้นทะเบียน SMEs กับ สสว. ผ่านระบบออนไลน์ โดยในประกาศแจ้งว่าหากผู้ประกอบการที่มีการจดทะเบียนนิติบุคคล และยังมีการคงอยู่ของกิจการ แล้วไม่จำเป็นต้องทำการขึ้นทะเบียนในระบบอีก แต่สามารถเข้าไปตรวจสอบ หรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้มีความสมบูรณ์ได้

ผมเลยสรุปได้ว่า หากผู้ประกอบการใดจดทะเบียนนิติบุคคล กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์และมีการยื่นงบการเงิน ตามรอบปกติ ไม่จำเป็นต้องไปขึ้นทะเบียน SMEs

แต่หากท่านขายสินค้าออนไลน์ ผมแนะนำว่าให้ท่านลองเข้าไปตรวจสอบประวัติในฐานข้อมูล ของ สสว. ผ่านระบบออนไลน์ก่อน ถ้าไม่มีข้อมูล ควรลงข้อมูลในระบบ กรณีที่ สคบ. เรียกให้ท่านไปชี้แจงท่านจะได้แสดงหลักฐานการขึ้นทะเบียน SMEs เพื่อใช้สิทธิ์ยกเว้นตามกฎหมาย

ช่วงนี้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กำหนดให้มีรางวัลสำหรับผู้แจ้งเบาะแสผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจทำตลาดแบบตรง และไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ สคบ. ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้มีการแจ้งเบาะแสเข้ามามากพอสมควร ผมมีข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ ที่มีการขายสินค้าออนไลน์ ไว้ดังนี้

1. หากท่านไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคล แล้วยอดขายผ่านระบบออนไลน์ต่ำกว่า 1.8 ล้านต่อปี ก็ไม่ต้องทำอะไรมากครับ ท่านได้รับยกเว้นอยู่แล้ว แต่ต้องระมัดระวังหากปีใดยอดขายเกินอาจมีปัญหา และหากบัญชีที่ท่านใช้รับเงินจากการขายออนไลน์ปะปนกับรายได้อื่น อาจมีความยุ่งยากในการตีว่ารายได้เกินหรือไม่

ควรแยกบัญชีในการรับเงินจากการขายของออนไลน์ออกจากบัญชีการขายหน้าร้าน หรือรายได้อื่นน่าจะดีกว่า และหากเห็นว่ามีโอกาสที่รายได้ต่อปีจากการขายของออนไลน์จะเกิน ควรจดทะเบียนนิติบุคคล

2. สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนนิติบุคคลอยู่แล้ว แล้วยังมีรายได้อยู่ในเกณฑ์ที่เป็นผู้ประกอบการ SMEs แนะนำให้ตรวจสอบว่า บริษัทของท่านได้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SMEs ของ สสว. อยู่หรือไม่หากมีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องทำอะไรต่อ หากยังไม่อยู่ในทะเบียน แนะนำให้ทำการลงทะเบียนออนไลน์กับ สสว.

3. สำหรับนิติบุคคลที่มีรายได้ หรือจำนวนพนักงานเกินนิยามของ SMEs หากดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายของออนไลน์ ท่านต้องติดต่อขอขึ้นทะเบียนขออนุญาตกับ สคบ. ครับ หากถูกตรวจสอบขึ้นมา ท่านจะโดนปรับ โดยค่าปรับสำหรับความผิดครั้งแรก จะปรับ 2/3 ของ 100,000 บาท ถ้าเป็นนิติบุคคล จะโดนสองเท่า (2/3*100,000) x 2

ผมเข้าใจว่ากฎหมายเรื่องการขึ้นทะเบียนสำหรับการขายของออนไลน์ พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง น่าจะมีผู้ประกอบการที่ยังไม่ทราบข้อกฎหมายนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ระยะหลังผู้ประกอบการหลายท่านทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ หันมาทำการตลาดแบบตรงผ่านระบบออนไลน์กันมาก เลยคิดว่าข้อมูลเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านครับ

ผมขออ้างอิงกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้ โดยสรุปเพื่อให้เข้าใจง่าย โดยไม่ได้ลอกข้อกฎหมายมาทั้งหมด หากท่านสนใจแนะนำให้ลองเอาชื่อกฎหมายและ พ.ศ. ที่ผมอ้างถึงไปสืบค้นเพื่ออ่านฉบับเต็มครับ

พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 ระบุไว้ว่า

“ตลาดแบบตรง” หมายความว่า การทำตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการสื่อสารข้อมูล เพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการโดยตรงต่อผู้บริโภคซึ่งอยู่ห่างโดยระยะทางและมุ่งหวังให้ผู้บริโภคแต่ละรายตอบกลับเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงนั้น ส่วนการซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยวิธีการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ถือว่าเป็นตลาดแบบตรง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง”

กฎกระทรวงกำหนดการซื้อขายสินค้าหรือบริการ โดยวิธีการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ถือว่าเป็นตลาดแบบตรง  พ.ศ. 2561  ระบุว่า

1. การขายสินค้าและบริการของบุคคลธรรมดา ที่มิได้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการธุรกิจตลาดแบบตรง และมีรายได้จากการขายของออนไลน์ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท

2. การขายสินค้าและบริการของวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อมที่ขึ้นทะเบียน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม ของ สสว.

(อ้างอิงจากประกาศของ สสว. บริษัท ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีการจดทะเบียนนิติบุคคล และยังดำเนินกิจการอยู่ ให้ถือว่าขึ้นทะเบียน กับ สสว. โดยไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารหรือลงทะเบียนอีก และ สสว. จะทำการดึงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง)

3. การขายสินค้าและบริการของวิสาหกิจชุมชนที่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน

4. การขายสินค้าและบริการของสหกรณ์และกลุ่มสหกรณ์ที่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์

กฎกระทรวงกำหนดลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. 2562 กำหนดนิยามของ SMEs ไว้ว่า

ภาคการผลิต

ขนาดกลาง (Medium) – การจ้างงาน (คน) น้อยกว่า 200 คน/รายได้ (ล้านบาท) ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

ขนาดย่อม (Medium) – การจ้างงาน (คน) น้อยกว่า 50 คน/รายได้ (ล้านบาท) ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

รายย่อย (Micro) – การจ้างงาน (คน) น้อยกว่า 5 คน/รายได้ (ล้านบาท) ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาท

ภาคการบริการและการค้า

ขนาดกลาง (Medium) – การจ้างงาน (คน) น้อยกว่า 100 คน/รายได้ (ล้านบาท) ต่ำกว่า 300 ล้านบาท

ขนาดย่อม (Medium) – การจ้างงาน (คน) น้อยกว่า 30 คน/รายได้ (ล้านบาท) ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

รายย่อย (Micro) – การจ้างงาน (คน) น้อยกว่า 5 คน/รายได้ (ล้านบาท) ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาท

หากตัวเลขการจ้างงานและรายได้อยู่แตกต่างระดับกันให้ยึดรายได้เป็นหลัก


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer