SmoothE ต้องเติบโตด้วย หลิง-ออม การรีแบรนด์ครั้งใหญ่ และคลินิกความงาม

ในปีที่ผ่านมาตลาดเวชสำอางมีมูลค่า 15,522 ล้านบาท เติบโต 15% จากผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้ารวม 35,000 ล้านบาท ที่มีการเติบโตน้อยกว่าเวชสำอาง

การเติบโตของตลาดเวชสำอางเป็นการเติบโตในตัวเลข 2 หลักในทุก ๆ ปีหลังจากคนไทยออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านอีกครั้งหลังโควิด -19  การเติบโตนี้ส่วนหนึ่งมาจากคนไทยเป็นบิวตี้ไฟท์เตอร์ด้านความสวยความงามที่ต้องการดูแลผิวหน้าให้ดูดีเสมอ และมีมากถึง 40% ที่มองว่าตัวเองมีผิวที่บอบบาง แพ้ง่าย ที่ทำให้ตัวเองเลือกที่จะใช้เวชสำอางเพื่อรักษา ปกป้องผิวให้สุขภาพดีเสมอ

ประกอบกับคนไทยมีความรู้ในด้านการดูแลผิวที่ลงลึกมากขึ้น ทั้งความรู้ด้านสารประกอบในผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยดูแล รักษา ฟื้นฟูผิวที่แตกต่างกันไป และมีพฤติกรรมใจร้อนต้องการรักษาปัญหาผิวที่เกิดขึ้นให้ดูดีอย่างเร่งด่วน นิยมใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลากหลายขั้นตอนมากขึ้น กล้าลองสินค้าใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง จากการเห็นรีวิว แนะนำ และอื่น ๆ จากบุคคลต่าง ๆ และโซเชียลมีเดีย

แต่บนการเติบโตของตลาดเวชสำอาง เป็นการเติบโตบนการแข่งขันที่สูงของแบรนด์เวชสำอางต่าง ๆ ทั้งแบรนด์เวชสำอางไทยและเทศ ที่ต่างนำเสนอนวัตกรรมในการดูแลผิวเจาะลึกไปในแต่ละเซกเมนต์มากขึ้น ทั้งการล้างหน้า บำรุง และปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดด

ซึ่งในปัจจุบันตลาดเวชสำอางที่อยู่ในตลาดมีสัดส่วนของแบรนด์เทศ 20% และแบรนด์ไทย 80% โดยสมูทอีเป็นหนึ่งในแบรนด์ไทยที่อยู่ในตลาดเวชสำอางมายาวนานกว่า 33 ปี จากสินค้าตัวแรกโฟมล้างหน้าไม่มีฟองที่เข้าสู่ตลาดในปี 2534 ก่อนที่จะต่อยอดไปยังเวชสำอางกลุ่มอื่น ๆ ทั้งครีมลดรอยแผลเป็น และกันแดด ที่ในปัจจุบันมีมากกว่า 300 SKU

และในปีที่ผ่านมาสมูทอียังคงเป็นเวชสำอางที่มีการเติบโตมากถึง 15% ด้วยรายได้ 900 ล้านบาท กินสัดส่วน 9% ในตลาดเวชสำอางทั้งหมด

แม้สมูทอียังคงเติบโตด้านรายได้มากกว่า 2 หลัก แต่ความท้าทายที่สำคัญของสมูทอีคือ

1. ลูกค้าหลักเป็นกลุ่มวัย Gen X และ Gen Y ที่เติบโตมากับแบรนด์

2. ลูกค้าสมูทอีส่วนใหญ่รับรู้เพียงว่าสมูทอีเป็นเวชสำอางที่เหมาะสำหรับผิวบอบบางเท่านั้น แม้แบรนด์สมูทอีจะมีส่วนประกอบจากสารธรรมชาติและอื่น ๆ ที่ช่วยในเรื่องผิวด้านต่าง ๆ ก็ตาม

3. สินค้าสมูทอีแม้จะมี SKU จำนวนมาก แต่ยังไม่มีเวชสำอางแยกย่อยในแต่ละสูตร เจาะแต่ละกลุ่มทั้ง ล้าง บำรุง ป้องกัน อย่างครอบคลุมเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เลือกใช้เวชสำอางจากประเภทของความต้องการเช่น ลดสิว ลดริ้วรอย ผิวกระจ่างใส เป็นต้น

จากความท้าทายของสมูทอีทำให้ในปีนี้ ธนชัย ชัยกิตติวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมูทอี และเภสัชกรศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด ได้ออกมาสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับแบรนด์สมูทอีในรอบ 30 ปี ทั้งด้านไลน์อัปสินค้า การสื่อสาร และภาพลักษณ์แบรนด์ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์และธุรกิจยิ่งขึ้น

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ประกอบด้วย

1. เปิดตัวสินค้าใหม่ และเพิ่มไลน์อัปสินค้าจากเดิมที่มีอยู่บนนวัตกรรมเพื่อผิวบอบบางอย่างต่อเนื่องผ่านขั้นตอน 3 สเต็ป ล้าง บำรุง และปกป้อง เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยใช้สมูทอี

สินค้าใหม่ที่เปิดตัวอยู่ภายใต้แนวคิดบนแนวคิดเอสเซนเชียลแคร์การดูแลมุ่งเน้นจุดที่สำคัญเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดูแลผิว เช่นการเปิดตัวสมูทอี ซัน แอสตาแซนธิน นวัตกรรมเซรั่ม กันแดด ที่มีความบางเบา ล็อกผิวเด็ก จากส่วนผสมแอสตาแซนธินครั้งแรกในประเทศไทย และในเดือนมีนาคม 2568 มีแผนเปิด สมูทอี นัน ไอออนนิก พีเอช ไฟว์ นิวเจน โฟมล้างหน้าสูตรไม่มีฟองใหม่ ที่ช่วยลดริ้วรอย เพิ่มผิวกระจ่างใส คุมมัน เป็นต้น

2. ปรับภาพลักษณ์แบรนด์จากเดิมที่ผู้บริโภคมองแบรนด์สมูทอี เป็นแบรนด์เวชสำอางเพื่อผิวอ่อนโยน เป็นแบรนด์เวชสำอางที่ อ่อนโยน มีประสิทธิภาพเห็นผล เพื่อสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้เข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ที่ไม่ได้มีความต้องการเวชสำอางที่บรรเทาการแพ้เท่านั้น และต้องการเวชสำอางที่ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพดีอย่างปลอดภัยอีกด้วย

3. แต่งตั้ง หลิง-ออม คู่จิ้นสายวาย เป็น นิวเฟซ ออฟ สมูทอี จากการมองเห็นหลิงหลิง ศิริลักษณ์ คอง และ ออม กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์ เป็นคู่จิ้นที่มีบุคลิกเข้ากับแบรนด์ผ่านความมีเสน่ห์และมั่นใจของหลิงหลิง และความอ่อนโยนของออมเพื่อสื่อสารถึงแบรนด์สมูทอี และกิจกรรมการตลาดต่อเนื่องทั้งปี

การเลือกหลิง-ออมเป็นตัวแทนในการสื่อสารของแบนด์สมูทอีตลอดทั้งปี 2568 เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้สมูทอี มีภาพลักษณ์ที่เด็กลง และขยายฐานลูกค้าสู่ Gen Z  ที่เป็นแฟนคลับได้มากขึ้น

ทั้งการสื่อสารผ่านแคมเปญโฆษณาที่ใช้วลีในการสื่อสาร “เพราะผิวหน้าไม่ใช่สนามทดลอง ลองจนเจ็บแต่ไม่จบ สมูทอี เจ็บแค่ไหน…จบที่เธอ อ่อนโยน…เห็นผล” เพื่อชวนคนรุ่นใหม่ที่มี Pain Point จากการลองสินค้าแบรนด์ต่าง ๆ จนอาจจะเปิดปัญหาเรื่องผิว และผู้ที่ใช้สินค้าดูแลผิวหน้าที่มากเกินไปจนเกิดปัญหาผิวโอเวอร์โดสจากสารบำรุงต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อผิวมากเกินไปจนกลายเป็นการทำร้ายผิว ให้กลับมาดูแลผิวผ่าน 3 สเต็ป ล้าง บำรุง ป้องกัน ที่สมูทอีมีอยู่

รวมถึงจับมือกับหลิง-ออม นำสินค้าสมูทอี Collab กับแบรนด์ AlwaysWonder และ Keepsilent ของหลิง-ออม จัดทำเป็น Valentines Gift Set Limited Edition 2 รูปแบบ เพื่อดึงดูดฐานแฟนคลับหลิง-ออมเข้ามาซื้อเพื่อสะสมและทดลองใช้สินค้าสมูทอีอีกทางหนึ่ง

ซึ่งการใช้หลิง-ออม สื่อสารขยายลูกค้าไปยังกลุ่ม Gen Z แล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งในแผนที่จะพาสมูทอีเข้าไปเปิดตลาดประเทศจีนซึ่งมีฐานแฟนคลับของหลิง-ออมในปีนี้ จากเดิมที่สมูทอีทำตลาดต่างประเทศในมาเลเซีย และเวียดนามเท่านั้น

4. ขยายโอกาสทางธุรกิจพร้อมสร้างภาพให้กับสมูทอีคือแบรนด์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวบอบบาง แพ้ง่าย ด้วยการจับมือกับแพทย์ผิวหนังเปิดคลินิกเพื่อผิวบอบบางแพ้ง่าย ซึ่งคลินิกดังกล่าวยังอยู่ในแผนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

จากที่ผ่านมาสมูทอีได้มีการจัดกิจกรรม Mobile Clinic ตรวจสภาพผิวและให้คำแนะนำในการดูแลผิวทั่วประเทศเท่านั้น

อย่างไรก็ดี การปรับแบรนด์ SmoothE และสื่อสารการตลาดผ่านหลิง-ออมในครั้งนี้ได้ใช้งบการตลาด 200 ล้านบาท และผู้บริหารคาดหวังว่าจะสามารถสร้างการเติบโตด้านรายได้ให้กับแบรนด์มากถึง 17% หรือมากกว่า 1,000 ล้านบาทในปีนี้ พร้อมเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 9.7% ในตลาดเวชสำอางรวม

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer