ตลาดรถยนต์อีวีในไทย ปี 2024 หดตัว -8.05% Price war สั่นคลอนความเชื่อมั่นผู้บริโภค ชะลอการตัดสินใจซื้อ ปีนี้ค่ายข้ามชาติต้องเริ่มประกอบรถในประเทศทดแทนนำเข้า เสี่ยงตลาดเข้าสู่โอเวอร์ซัปพลาย ตลาดส่งออกพวงมาลัยขวายังจำกัด กระทบ Price war ไม่จบง่าย
| ตลาดรถยนต์อีวี ไม่แล่นฉิวแล้ว
ถึงจุดอิ่มตัว? ต้องเริ่มผลิตทดแทนนำเข้า กดดัน Price war ไม่จบ |
||
| ยอดจดทะเบียนใหม่ (ป้ายแดง) | รถยนต์ไฟฟ้า 100% / คัน | อัตราเติบโตเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน |
| ปี 2020 | 1,056 | 62.46% |
| ปี 2021 | 1,935 | 83.24% |
| ปี 2022 | 9,729 | 402.79% |
| ปี 2023 | 76,314 | 684.4% |
| ปี 2024 | 70,173 | -8.05% |
| ที่มา: สถิติรถจดทะเบียนใหม่ รย.1 รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน จากกรมการขนส่งทางบก | ||
จากการเติบโตของ ‘ตลาดรถยนต์อีวีในไทย’ ปี 2022-2023 ซึ่งขยายตัวแตะเลขสามหลัก เฉพาะปี 2023 ยอดขายสูงที่สุดในประเทศกลุ่มอาเซียน หรือคิดเป็นสัดส่วน 80% ของภูมิภาค และนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2010 หรือรอบ 13 ปีจากรายงานข้อมูลที่กรมการขนส่งทางบกเผยแพร่สถิติ ที่รถยนต์อีวีสามารถมีส่วนแบ่งตลาดรถยนต์นั่งได้ในหลักดับเบิลดิจิต (12.02%)
ทั้งจากคาดการณ์ว่าปี 2024 ยอดจดทะเบียนใหม่รถยนต์อีวีจะอยู่ที่ประมาณ 100,000 คัน สรุปยอดทั้งปีอยู่ที่ 70,173 คัน หดตัว -8.05% ซึ่งคิดเป็น 14.0% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ รย.1 ทั่วประเทศ 502,077 คัน อยู่ในภาวะชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
สาเหตุที่ทำให้ตลาดรถยนต์อีวีไทย ปี 2024 หดตัว มาจากผลกระทบหลายส่วน อย่างเช่นแรงกดดันของกลุ่มยานยนต์ข้ามชาติโดยเฉพาะจีนที่เข้ามาลงเล่นในตลาดต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต้องแข่งขันกันสูงขึ้น กลุ่มผู้นำจึงต้องมุ่งขยายมาร์เก็ตแชร์ด้วยกลยุทธ์การทำแคมเปญลดราคาเป็นหลัก ส่งผลให้ตลาดตกอยู่ในสถานการณ์ ‘สงครามราคารุนแรง’ ซึ่งสั่นคลอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เลือกชะลอการตัดสินใจซื้อ
กอปรกับตลาดรถยนต์นั่งที่อยู่ในภาวะหดตัวหนักสุดในรอบ 15 ปี เศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะเปราะบาง สถานีชาร์จไฟและระบบโครงข่ายพลังงานยังคงไม่ครอบคลุมเพียงพอ ตลอดจนการแข่งขันด้านราคาส่งผลให้ผู้ผลิตรายย่อยล้มหายไป ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลง และความเชื่อมั่นในตลาดโดยรวมลดลง
ในปี 2025 ตลาดรถยนต์อีวีในไทยก็ยังคงมีแนวโน้มอยู่ในภาวะสงครามราคารุนแรง แม้จะเริ่มเห็นภาพทิศทางผู้เล่นในสนามชัดเจน เนื่องมาจากการที่ค่ายข้ามชาติโดยเฉพาะกลุ่มจีนต้องเริ่มต้นการประกอบรถในประเทศกันมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2024 เพื่อทดแทนจากการนำเข้าตามเงื่อนไขการสนับสนุนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าระยะแรก หรือ อีวี 3.5
ซึ่งสถานการณ์ข้างต้นส่งผลสำคัญให้ปริมาณการผลิตและปริมาณความต้องการของตลาดไม่สอดคล้องกัน สุ่มเสี่ยงเกิดปริมาณสต๊อกจำนวนมาก รวมถึงตลาดที่รองรับการส่งออกรถยนต์อีวีพวงมาลัยขวาในปัจจุบันยังมีจำกัด
โดยในช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มยานยนต์ข้ามชาติจีนที่เป็นผู้นำอยู่ในตลาดรถยนต์อีวีในไทย ก็ได้ร่วมกันหารือแนวทางบรรเทาภาวะสงครามราคา อย่างการนำเสนอให้รัฐบาลมีการปรับเงื่อนไขในการผลิตชดเชย
นอกจากนั้น ภาวะสงครามราคาของตลาดรถยนต์อีวีในไทย ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังตลาดประกันภัย ซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์ความเสี่ยงสูงที่จะเกิด ‘การใช้อย่างบิดเบือน (Moral hazard)’ หรือ ‘การจงใจเกิดอุบัติเหตุ’ สาเหตุจากทุนประกันที่สูงเกินกว่าราคารถใหม่
โดยเฉพาะกับรถยนต์อีวีที่แค่ชนโดนแบตเตอรี่ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถซ่อมได้จนเกิดการคืนทุนประกัน ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่เจ้าของรถอาจจะมีแรงจูงใจในการ ‘จงใจนำรถไปเกิดอุบัติเหตุจนคืนทุนประกัน’ เพิ่มมากขึ้นอีกก็เป็นได้
ตลาดรถยนต์อีวีในไทยที่เส้นทางวิ่งดูราบรื่น ปี 2025 กลับกำลังอยู่ในภาวะกลับไม่ได้ ไปไม่ถึง ถนนที่ต้องมุ่งไปในปีนี้ อยู่บนความท้าทายจากสิ่งกีดขวาง อาทิ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ความเสี่ยงในการเผชิญโอเวอร์ซัปพลาย กลุ่มรถยนต์ไฮบริดที่เริ่มเข้ามาเป็นทางเลือกหลัก ตลอดจนการที่แบรนด์ข้ามชาติญี่ปุ่นเริ่มปรับตัวเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนผ่านตามกระแสตลาดด้วยการควบรวมธุรกิจในรูปแบบบริษัทโฮลดิ้งเพื่อขยายขีดความสามารถในการแข่งขัน
–
