คาดการณ์ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย 2025 มูลค่า 1.07 ล้านล้านบาท เติบโต 7% จากปี 2024 และเป็นการเติบโตเพียงหลักเดียวเป็นปีที่ 2 จากที่ผ่านมาที่มีการเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลักมาอย่างต่อเนื่อง
จากปี 2019 มูลค่า 2.2 แสนล้านบาท
ปี 2020 มูลค่า 3.7 แสนล้านบาท เติบโต 68%
ปี 2021 มูลค่า 6.1 แสนล้านบาท เติบโต 65%
ปี 2022 มูลค่า 8.2 แสนล้านบาท เติบโต 34%
ปี 2023 มูลค่า 9.2 แสนล้านบาท เติบโต 12%
ปี 2024 มูลค่า 1 ล้านล้านบาท เติบโต 9%
คาดการณ์ปี 2025 มูลค่า 1.07 ล้านล้านบาท เติบโต 7%
การเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซในปีนี้เป็นการเติบโตบน 5 เทรนด์ที่น่าสนใจ จากข้อมูลของ ธนวัฒน์ มาลาบุปผา CEO & Co-Founder Priceza ในงาน Priceza Thailand E-Commerce Trends 2025

ประกอบด้วย
เทรนด์ที่ 1
The Rise of Affiliate Commerce
อีคอมเมิร์ซพันธ์ุใหม่ในปีนี้ได้ถือกำเนิดโดย Affiliate ที่แบรนด์ต่าง ๆ ได้นำกลยุทธ์ Affiliate Commerce ไปใช้กับการขายสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซทั้งหมดที่มีอยู่
การนำ Affiliate Commerce มาใช้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขายมาจากแบรนด์นำ Content Creators ใช้เป็นหนึ่งในช่องทางการสื่อสารของแบรนด์ไปยังลูกค้าจากการมองเห็นอิทธิพลในการนำเสนอสินค้า บริการ ที่วัดผลเป็นยอดขายที่กลับมาให้กับแบรนด์ได้
และผู้บริโภคมากถึง 83% ตัดสินใจซื้อสินค้าตามที่ Influencer เป็นผู้แนะนำ
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ Content Creators ในไทยมีมากถึง 9 ล้านรายในปัจจุบัน และ Content Creators กลุ่มค้าปลีกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกหมวด
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ Affiliate Commerce เติบโตจะมาจาก 3C ได้แก่ Creators, Content และ Commerce จากผู้บริโภคชอบคอนเทนต์ที่ดี และคอนเทนต์ที่ดี นำไปสู่ยอดขายให้กับแบรนด์
ปี 2025 จึงเป็นปีที่แบรนด์วางกลยุทธ์สร้างพันธมิตรจับมือกับ Content Creators เก่ง ๆ เพื่อตอบโจทย์ด้านยอดขายเป็นหลัก
ตลอดจนแพลตฟอร์มต่าง ๆ มีการปรับตัวเอง ขยายแลนด์สเคปตัวเองอยู่ในรูปแบบ Convergence เพื่อกินรวบต้นน้ำถึงปลายน้ำ
และมี Affiliate เป็นสะพานเชื่อมระหว่างคอนเทนต์แพลตฟอร์ม และคอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม เข้าด้วยกัน จากเดิมทั้งสองแพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เชื่อมกันเท่าไรนัก
Trend 2
Competition in Thailand E-Commerce is Heating Up
ปีนี้เป็นปีแห่งการแข่งขันที่หนักหน่วงของอีคอมเมิร์ซ จากเจ้าของแพลตฟอร์มอย่าง Shopee, Lazada, TikTok ผู้ขายรวมกันมากถึง 3 ล้านราย จากสินค้า 300 ล้านรายการ ทั้งการดึงผู้ขายรายย่อย รายใหญ่ ค้าปลีกรายใหญ่ แบรนด์ต่าง ๆ โรงงานจีน ผู้ขายจากต่างประเทศ เพื่อเข้ามาร่วมแข่งขันในแพลตฟอร์มของตัวเอง
เพราะแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสต่าง ๆ รู้ดีว่าการแข่งขันจากผู้ขายในแพลตฟอร์มจะผลักดันให้สินค้ามีราคาถูกลง ที่จะสามารถดึงดูดลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าได้ จากการมองเห็นพฤติกรรมผู้บริโภคไทยตัดสินใจช้อปออนไลน์ เพราะส่วนลด โค้ดส่งพรี เก็บเงินปลายทาง
จากข้อมูลพบว่าในปี 2022 ผู้บริโภคไทยนิยมช้อปปิ้งออนไลน์ เพราะ
– การจัดส่งฟรี: 57.7%
– คูปองและส่วนลด: 49.2%
– ตัวเลือกจ่ายแบบ COD: 37.6%
– รีวิวจากลูกค้า: 31.8%
– ไลก์และคอมเมนต์บนโซเชียล: 30.6%
– นโยบายคืนสินค้าที่ง่าย: 38.9%
ปี 2023
– การจัดส่งฟรี: 54.7%
– คูปองและส่วนลด: 49.0%
– ตัวเลือกจ่ายแบบ COD: 36.1%
– รีวิวจากลูกค้า: 30.4%
– ไลก์และคอมเมนต์บนโซเชียล: 29.7%
– นโยบายคืนสินค้าที่ง่าย: 26.8%
ปี 2024
– คูปองและส่วนลด: 54.0%
– การจัดส่งฟรี: 51.8%
– ตัวเลือกจ่ายแบบ COD: 40.4%
– นโยบายคืนสินค้าที่ง่าย: 30.7%
– รีวิวจากลูกค้า: 27.4%
– ไลก์และคอมเมนต์บนโซเชียล: 26.4

นอกจากนี้ ธนวัฒน์ยังมองว่าในอนาคต โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะมีนโยบายประกาศขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจากจีนที่ส่งไปขายในประเทศ
ซึ่งนโยบายการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจากจีนไม่ได้ทำให้ประเทศจีนผลิตสินค้าน้อยลง และนำสินค้าที่ผลิตได้มาจำหน่ายในประเทศที่จีนเป็นพันธมิตร เช่น ไทย เวียดนาม มาเลเซีย และอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ผ่านช่องทาง Cross Border E-commerce
และประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดประตูรับสินค้าจีน ด้วยมาตรการสินค้าจากประเทศจีนที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร
ซึ่งในวันนี้สินค้าจีนมาจำหน่ายในไทยประกอบด้วย 3 รูปแบบ
ได้แก่
-บริษัทไทยติดต่อกับบริษัทในประเทศจีนเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่าย ซึ่งการนำเข้าในรูปแบบนี้จะต้องเสียภาษี และขอ อย. มอก.
-ร้านค้า, แบรนด์ , โรงงานจากสินค้าจากจีน ขายปลีกสินค้าให้กับลูกค้าไทย ด้วยการส่งผ่านเครื่องบินโดยไม่จำเป็นต้องเสียภาษีในกรณีสินค้าไม่เกิน 1,500 บาท และไม่ต้องขอ อย. และ มอก.
-การตั้งคลังสินค้า Free Zone ในไทยนำสินค้าจากจีนมาพักรอขายในประเทศไทย โดยไม่ต้องเสียภาษี (ในกรณีสินค้าไม่เกิน 1,500 บาท) ขอ อย. และ มอก. เพื่อขายปลีกตรงให้กับลูกค้าเมื่อเกิดการสั่งซื้อจากแพลตฟอร์ม
โดยโมเดลการขายสินค้าจากจีนผ่านรูปแบบการนำเข้าทั้ง 3 รูปแบบ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด Official Store ของแบรนด์เดียวกันในแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสจำนวนมาก ที่เป็น Official Store จากบริษัทในประเทศไทย และบริษัทจากร้านค้าจีน
ซึ่งราคาขายสินค้าไอเทมเดียวกันจากร้านค้าจีนมีราคาต่ำกว่าร้านค้าในประเทศไทยมากถึง 30% จนเกิดยอดขายสินค้าจากร้านค้าจีนมากกว่าไทย
Trend 3
E-commerce Listening
จากการแข่งขันในธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่แข่งขันอย่างรุนแรง การทำ E-commerce Listening ช่วยเปิดทางให้ผู้ขายรู้เขาและรู้เรา
E-commerce Listening เป็นเครื่องมือที่หลายแบรนด์เริ่มนำมาใช้มากขึ้นเพื่อรู้เขา รู้เรา จากเดิมที่เครื่องมือนี้จำกัดอยู่เฉพาะโกลบอลแบรนด์เพราะราคาของ E-commerce Listening ที่ถูกลง
ซึ่ง E-commerce Listening ที่หลายแบรนด์นำมาใช้จะผ่านคอนเซ็ปต์ 3C ได้แก่ Company, Compactors ที่เป็นคู่แข่ง และ Consumer ทั้งการรู้จักตัวเอง คู่แข่ง จับเทรนด์หาสินค้าใหม่มาจำหน่าย เพื่อทันกับความต้องการ เป็นต้น



Trend 4
E-Commerce Business Model Evolution
อีคอมเมิร์ซเกิดมาในตลาดไทยกว่า 20 ปี และปีนี้เป็นปีแห่งการปรับบิซิเนสโมเดลใหม่ 3 โมเดล ได้แก่
– Consignment Model การฝากขาย ที่เน้นสินค้าราคาถูก และแพลตฟอร์มจะเป็นผู้ทำตลาดให้เอง และในปีนี้แพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมถึง TikTok จะเริ่มขยับขยายธุรกิจในรูปแบบนี้ผ่านการชวนผู้ขายที่มากขึ้น เพื่อรับการแข่งขันตลาดกับ Temu
– Refocus on Own Retail Channel ปีนี้แพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส เช่น Shopee Lazada จะเก็บค่าธรรมเนียมที่แพงขึ้น และการขายของที่จ่ายเฉพาะค่าธรรมเนียม โดยไม่ร่วมแคมเปญต่าง ๆ ทำให้ขายสินค้ายากขึ้นจากการปิดการมองเห็น การมีการแข่งขันสูง ตลอดจนข้อมูลลูกค้าที่ขายผ่านทางมาร์เก็ตเพลส เช่น Shopee Lazada ที่ส่งมาให้กับผู้ขายไม่ครบจนไม่สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้งานต่อได้
สิ่งเหล่านี้ทำให้แบรนด์ ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับช่องทางขายของตัวเองมากขึ้น และดึงดูดลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าในช่องทางตัวเองด้วย Affiliate Commerce
– Vertical Marketplace แพลตฟอร์มที่ขายสินค้าเฉพาะเจาะจง และทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่ามาร์เก็ตเพลสนี้ตอบโจทย์ในสินค้าเฉพาะกลุ่มมากกว่า เช่น Home Pro, Konvy, NocNoc เป็นต้น

Trend 5
Fast Delivery Like a Devil
ในปีนี้ ผู้ขายแพ็กของเหนื่อยขึ้น จากการกดดันของแพลตฟอร์มที่ผลักดันให้ผู้ขายต้องส่งของไวขึ้น เช่น การแข่งขัน Lazada TikTok ที่นำเรื่องส่งไวมาเป็นคะแนนวัดประสิทธิภาพความไวในการส่งให้กับลูกค้าเป็นต้น
และการส่งด่วนจากแพลตฟอร์มและร้านค้าต่าง ๆ มีส่วนช่วยให้ตลาด Quick Commerce เติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณ 20-30% ต่อปี

อย่างไรก็ดี ในปีที่ผ่านมาอีคอมเมิร์ซประเทศไทยมีสัดส่วนมูลค่าจาก
อีมาร์เก็ตเพลส สัดส่วน 50% (เช่น Shopee, Lazada, Central, Kony, Pomelo และ NocNoc)
วิดีโอคอมเมิร์ซ สัดส่วน 20% (เช่น TikTok, Facebook Live, YouTube, IG)
โซเชียลคอมเมิร์ซ สัดส่วน18% (เช่น Facebook, IG, X (Twitter) Pinterest, LINE)
ควิกคอมเมิร์ซ และ Grocery สัดส่วน 8% (เช่น Grab, LINEMAN, Foodpanda, Tops, 7-Eleven, Lotus Makro Pro, Big C)
อีเทลเลอร์ สัดส่วน 4% (เช่น Homepro, Power Buy, Watson, Boots, Banana, Advice, JIB)
และเชื่อว่าในปี 2030 ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยจะเติบโตถึง 2 ล้านล้านบาทได้อย่างแน่นอน
–
