Life / ย้อนไปในยุค 80 ปัญหาใหญ่ที่คนยุคนั้นตระหนักและยังจดจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ คือ ความอดอยากในแอฟริกา
ซึ่งนอกจากการนำเสนอข่าวตามสื่อ และการผลักดันของหน่วยงานระหว่างประเทศแล้ว บรรดาศิลปินนักร้องก็มีส่วนสำคัญในการให้ความช่วยเหลือ และคลี่คลายปัญหาดังกล่าวผ่านการจัดคอนเสิร์ตและการทำเพลงการกุศล
We Are the World ถือเป็นเพลงการกุศลที่ดังสุดในยุค 80 และยังเป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงลักษณะนี้ในยุคหลัง ๆ ในหลายประเทศ ซึ่งจากการเป็นเพลงประวัติศาสตร์ มีนักร้องและผู้เกี่ยวข้องมากมาย เรื่องราวเบื้องหลังของเพลงนี้จึงน่าสนใจ

เมื่อปี 2024 Netflix ได้สร้างหนังสารคดีเรื่อง The Greatest Night in Pop เพื่อเล่าถึงเบื้องหลังของเพลง We Are the World โดยนอกจากเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแล้วหนังเรื่องนี้ยังให้ข้อคิด 4 ข้อที่สามารถนำไปปรับใช้ทั้งเรื่องการทำงานและดำเนินชีวิตอีกด้วย
การแข่งกันทำความดีเป็นเรื่องถูกต้อง: ข้อคิดแรกสุดจาก The Greatest Night in Pop คือการแข่งกันทำความดี โดยแสดงออกมาให้เห็นในฉากที่ผู้ที่มีส่วนร่วมกับโปรเจกต์นี้ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นชาวอเมริกัน ยอมรับว่าแม้มีความคิดที่จะทำเพลงอยู่แต่ในเมื่อไม่ได้เดินหน้า ศิลปินฝั่งอังกฤษจริงตัดหน้าทำเพลง Do They Know Christmas ออกมาก่อน
ทว่าเมื่อตัดสินใจเดินหน้าแล้วโปรเจกต์นี้ก็เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว จากการผลักดันของ 4 แกนนำคือ แฮร์รี่ เบลฟอตเต้ นักแสดงอเมริกันผิวดำรุ่นใหญ่ เคน คราเคน ผู้จัดการศิลปิน และ ลิโอเนล ริชชี่ กับ ไมเคิล แจ็คสัน นักร้องดังชาวอเมริกันชื่อดังยุค 80
จนที่สุดเพลง We Are the World เสร็จในเวลาไม่นาน และกลายเป็นต้นแบบเพลงการกุศลเพลงดังที่สุดเพลงหนึ่งในยุค 80 โดยแม้ด้านหนึ่งเป็นการแข่งขันกัน แต่ปลายทางแล้วทั้ง 2 เพลงต่างก็กระตุ้นให้ชาวโลกตระหนักถึงปัญหาความอดอยาก อันนำไปสู่ความช่วยเหลือมากมายในเวลาต่อมา
มองเห็นปัญหาแล้วไม่เพิกเฉยนิ่งดูดาย: ข้อคิดถัดมาจากหนังสารคดีเรื่องนี้คือ การไม่เพิกเฉยต่อปัญหา ซึ่งเริ่มจาก แฮร์รี่ เบลฟอตเต้ เห็นว่าลำพังแค่การนำเสนอข่าวของสื่อเรื่องความอดอยากในแอฟริกานั้นยังไม่เพียงพอ จึงนำมาสู่โปรเจกต์เพลง We Are the World
และหลังจากคนในวงการบันเทิงทราบข่าวต่างอยากมาร่วม จนมีเหล่านักร้องดังยุค 80 ของฝั่งอเมริกากว่า 40 คน เช่น ลิโอเนล ริชชี่, ไมเคิล แจ็คสัน, ไดน่า รอสส์, สตีวี่ วันเดอร์, สตีฟ เพอร์รี่, บรูซ สปริงทีน และ ซินดี้ ลอเปอร์ มาร่วมร้อง โดยผลสำเร็จคือการระดมทุนช่วยเหลือชาวแอฟริกาได้มากถึง 222 ล้านดอลลาร์ (ราว 7,500 ล้านบาท) ตามค่าเงินปัจจุบัน
อย่าปล่อยอัตตาไปทำลายโปรเจกต์ใหญ่: ข้อคิดถัดมาจาก The Greatest Night in Pop คือ วางอัตตา ความเก่งกาจ หรือความรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ที่ทำลายงานไว้ก่อน แล้วหันหน้ามาช่วยเหลือกันเพื่อปิดจ็อบให้ได้
ฉากที่แสดงให้เห็นข้อคิดนี้คือ ควินซี่ โจนส์ โปรดิวเซอร์ดังยุค 80 ผู้ทำหน้าที่คุมโปรเจกต์นี้ แปะข้อความแปลเป็นไทยได้ว่า “ทิ้งอัตตาของคุณไว้ตรงนี้” ไว้ที่ประตูห้องอัด เพื่อเตือนสติบรรดาศิลปินเบอร์ใหญ่ ๆ หลายสิบชีวิตให้หันมาผนึกกำลังกันทำโปรเจกต์นี้ให้เสร็จ
ปรากฏว่าได้ผล เพราะนอกจากไม่มีการข่มกันให้เห็นแล้ว ทุกคนต่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในห้องอัด เช่น แนะนำการร้องและให้กำลังใจกันและกันอีกด้วย
ทุ่มให้เต็มร้อย-ใส่ใจทุกรายละเอียด: ข้อคิดสุดท้ายจากสารคดีเรื่องนี้ คือ ทุ่มเต็มร้อยและใส่ใจรายละเอียด โดยทุ่มเต็มร้อยแสดงให้เห็นในช่วงที่ ฮิวอี้ เลวิส ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีและทุ่มเทร้องโน้ตเสียงสูงในท่อนสำคัญของเพลงต่อจาก ไมเคิล แจ็คสัน และยังเป็นการร้องไว้เผื่อ ปรินซ์ นักร้องดังยุคนั้นอีกคน ที่ว่ากันว่าเป็นคู่ปรับของ ไมเคิล แจ็คสัน ที่อาจมาไม่ได้ด้วย
ที่สุด ปรินซ์ ก็ไม่มา เสียงของ ฮิวอี้ เลวิส จึงได้อยู่ในเพลงและกลายเป็นประวัติศาสตร์ของวงการเพลง ซึ่งทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้า ฮิวอี้ เลวิส ถอดใจ ทำไปแบบผ่าน ๆ เพราะคิดว่าตนก็แค่ตัวสำรองขัดตาทัพ และคุมความประหม่าของตัวเองไม่อยู่
ส่วนข้อคิดเรื่องการใส่ใจรายละเอียด สะท้อนออกมาในช่วงที่ ซินดี้ ลอเปอร์ บ่นว่าร้องไม่ได้ดั่งใจเสียที และคิดไปเองว่า เหมือนได้ยินเสียงรบกวนตลอด โดยที่สุดเพื่อนศิลปินและทีมงานในห้องอัดก็ชี้ให้เห็นว่า มาจากลูกปัดของสร้อยหลายเส้นที่ใส่อยู่นั่นเอง
–
