Trends / การตามเทรนด์ให้ทัน และรู้ว่าอะไรกำลังอยู่กระแสเป็นหนึ่งในเคล็ดลับของสำเร็จทางการตลาดของแบรนด์ดัง ๆ มาทุกยุคทุกสมัย
มายุคนี้ แบรนด์ต้องหูไว-ตาไวมากกว่าเดิม เพราะเทรนด์ไม่ได้แค่มาไว-ไป แต่ยังมีมากมายจนแทบจะเรียกได้ว่าท่วมท้นอีกด้วย
แพลตฟอร์มที่แบรนด์ต้องจับตามากสุด ณ ปัจจุบัน คือ TikTok เพราะ Gen Z ใช้กันมากสุด และยังเป็นเวทีที่เหล่าอินฟฟลูเอนเซอร์ในแพลตฟอร์มนี้ได้แสดงตัวตน รวมถึงชี้ว่ามีอะไรกำลังมาแรง เช่นที่เกิดขึ้นแล้วกับตลาดหนังสือ และล่าสุดกำลังเกิดขึ้นกับตลาดครีมเทียมในสหรัฐฯ

ตามร้านสะดวกซื้อต่อเนื่องสู่ซูเปอร์มาร์เก็ต ไปจนถึงห้างสรรพค้าทั่วสหรัฐฯ ต่างพากันขยายชั้นวางครีมเทียม ตามจำนวนและรสชาติใหม่ ๆ ที่แบรนด์ต่าง ๆ ส่งมาวางขายเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค
ในจำนวนนี้บางรสก็ขายดีและอยู่มานานจนกลายเป็นสินค้าหลัก ๆ ที่ทุกร้านต้องมี เช่น ครีมเทียมรสชาติปกติ ขณะที่บางรสก็มีออกมาวางขายในเวลาจำกัด และเลิกขายไป หลังเทรนด์ซาไปหรือกระแสตอบรับไม่ดีตามที่คาดไว้
ในส่วนของรสแปลกใหม่ที่ผู้บริโภคในสหรัฐฯ เพิ่งเห็นกันช่วงไม่กี่ปีนี้ ก็เช่น รสช็อกโกแลต Snickers รสขนมต่าง ๆ ไปจนถึงรสที่ชื่ออิงจากคอนเทนต์ในแพลตฟอร์ม วิดีโอ สตรีมมิ่ง อย่าง Bridgerton, Love is Blind และ The White Lotus
นอกจากนี้ ยังมีการทำในรูปแบบโฟมหรือน้ำออกมาด้วย เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการและสะดวกในการชงกาแฟ โดยแบรนด์ที่ส่งครีมเทียมมาสู้กันในตลาดสหรัฐฯ ก็มีตั้งแต่สองแบรนด์ใหญ่อย่าง Coffeemate ของ Nestlé และ International Delight ของ Danone
ไปจนถึงแบรนด์อื่น ๆ Picnik และแบรนด์ลูกใต้ชายคาแบรนด์ใหญ่ที่รุกตลาดนม ครีมเทียม หรือโปรตีนแบบผง อย่าง Fairlife ของ Coca-Cola
การขยายตัวดังกล่าวส่งให้ยอดขายครีมเทียมในสหรัฐฯ เมื่อปี 2024 สูงถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 168,000 ล้านบาท) โดยโตขึ้น 14% จากปี 2023
และยังทำให้ไลน์ครีมเทียมแบรนด์ Coffeemate ของ Nestlé ขยายต่อเนื่อง จนต้องทุ่มงบ 675 ล้านดอลลาร์ (ราว 22,700 ล้านบาท) ที่รัฐแอริโซนา ซึ่งเพิ่งเริ่มเดินสายพานผลิตไปเมื่อไม่นานมานี้
แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวที่สร้างแรงกระเพื่อมใหญ่และยอดขายมหาศาลเช่นนี้ย่อมต้องมีที่มา โดยสาเหตุแรกมาจากคนรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Z ชงกาแฟดื่มที่บ้านกันมากขึ้น เพราะเห็นว่าประหยัดค่าใช้จ่าย หลังเงินเดือนจากการทำงานมาไม่กี่ปีก็ยังมีไม่มาก
และจำเป็นต้องลดค่าครองชีพท่ามกลางปัญหาราคาอาหารและเครื่องดื่มแพงขึ้นตามราคาวัตถุดิบ จากผลกระทบของสถานการณ์โลกและภาวะโลกร้อน
การชงกาแฟดื่มเองที่บ้านของ Gen Z ยังมาจากการที่ Gen Z ส่วนใหญ่ทำงานที่บ้านสลับการเข้าบริษัทมาตั้งแต่ช่วงโควิดอีกด้วย โดยเมื่อไม่ได้อยู่ในสายตาเจ้านาย เป็นบ้านหรือที่พักส่วนตัว ย่อมมีเวลาหรือปลีกตัวโพสต์การชงกาแฟด้วยส่วนผสมแปลกใหม่ ขึ้น TikTok จนเกิดเป็นเทรนด์ Coffeetok และดาว TikTok สายชงกาแฟหรือ Coffeetokker ขึ้น
เมื่อ Coffeetok ดันให้เมนูไหนฮิต แบรนด์ครีมเทียมก็ผลิตครีมเทียมรสตามเมนูนั้นออกมา เพื่อเกาะกระแสและกระตุ้นยอดขายผ่านการจับจุดเรื่องการชงกาแฟดื่มเองจนเรียกได้ว่าไม่ว่าใครก็สามารถทำกาแฟหรู ๆ ราคาแพง ดื่มเองที่บ้านในราคาประหยัดได้
และจากครีมเทียมมากมายจนแทบจะล้นชั้นวางจึงทำให้ Coffeetokker มีวัตถุดิบหลากหลายและสามารถแข่งขันคิดเมนูกาแฟใหม่ ๆ เพื่อดันยอดต่าง ๆ ในช่องตัวเอง ซึ่งส่งผลต่อยอดขายและตลาดครีมเทียมโตขึ้นตามไปด้วย
ส่วนอีกสาเหตุที่ทำให้ตลาดครีมเทียมในสหรัฐฯ โต มาจากการที่แต่ละแบรนด์พากันออกรสใหม่ ๆ อิงกับขนมหรือคอนเทนต์ต่าง ๆ ซึ่งเริ่มจากรส Elf ของ International Delight อิงตามอาหารและขนมจากหนังชื่อเดียวกันเมื่อปี 2003

และล่าสุดที่ Nestlé ส่งครีมเทียม Coffeemate รส The White Lotus อิงตามเมนูเครื่องดื่มในซีรีส์ชื่อเดียวกัน ซึ่งเพิ่งมีซีซั่น 3 ออกมา โดยแม้รสแปลกใหม่เหล่านี้มีอายุสั้น แต่การเกาะกระแสก็ช่วยกระตุ้นยอดขายและเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูร่วมสมัยอยู่ตลอด
ขณะเดียวกันยังไม่เปลืองงบมาก แต่ได้ผลดี และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ความคึกคักและยอดขายขายที่เพิ่มขึ้นของตลาดครีมเทียมในสหรัฐฯ ซึ่ง Gen Z และ TikTok เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญนี้ ยังย้ำว่าผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่และแพลตฟอร์มดังกล่าวสำคัญต่อการทำการตลาดของแบรนด์ยุคนี้ ซึ่งเกิดขึ้นมาหลายปีแล้วกับตลาดหนังสือผ่านเทรนด์ Booktok/cnn
–
