แน่นอนว่าถ้ากล่าวถึงวงการอาหารระดับไฟน์ไดน์นิ่งแล้วล่ะก็หลายต่อหลายคนน่าจะคิดถึงประเทศฝรั่งเศสแน่นอน เพราะประเทศนี้เป็นหนึ่งในประเทศที่โดดเด่นเรื่องอาหารหรู และเชฟชาวฝรั่งเศสหลายคนต่างก็มีชื่อเสียงในด้านความเชี่ยวชาญด้านการทำอาหาร
นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังเป็นประเทศของชีสนุ่มแสนอร่อย ขนมปังกรอบอบสดใหม่ และไวน์รสสัมผัสแน่น ทำให้อาหารฝรั่งเศสคลาสสิกมักจะมีซอสที่เข้มข้นและมีรสชาติกลมกล่อมนั่นเอง
โดยเฉพาะในเมืองหลวงของฝรั่งเศส ปารีส ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารรางวัลมิชลินสตาร์ที่ดีที่สุดในโลกจำนวนมาก ซึ่งจะมีร้านอาหารอะไรบ้างนั้น มารู้จักกับ 5 ร้านอาหารฝรั่งเศสที่ไม่น่าพลาดกันเลย
Shang Palace (ชางพาเลซ)
ร้านอาหารชั้นเลิศนี้ตั้งอยู่ในโรงแรมแชงกรีลา ซึ่งเป็นร้านอาหารจีนระดับดาวมิชลินแห่งเดียวของฝรั่งเศส ซึ่งให้บริการเมนูคลาสสิกระดับไฮเอนด์ที่ปรุงแต่งแบบฝรั่งเศส ร้านนี้เปิดให้บริการในปี 2011 ก่อนที่จะได้รับมิชลินสตาร์ในปีต่อมา โดยร้านอาหาร Shang Palace นี้ได้รับการดูแลโดยเชฟ Tony Xu (โทนี่ ซู) เชฟที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในวงการอาหาร
Datil (ดาทิล)

ร้านอาหารนี้เป็นร้านอาหารที่นำโดยเชฟหญิง Manon Fleury (มานอน เฟลอรี) ซึ่งเน้นการทำอาหารที่ทำมาจากวัตถุดิบธรรมชาติตามฤดูกาลเป็นหลัก โดยเฉพาะพืชผักธรรมชาติต่าง ๆ ที่มาจากฟาร์มเกษตรกรรมท้องถิ่น แต่โปรตีนจากสัตว์ก็ยังคงมีอยู่ ส่งผลให้อาหารส่วนใหญ่ของร้านนี้เป็นเมนูที่จะปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามซีซั่น อย่างเช่นเมนูที่ทำมาจากรูตาบากาและหัวไชเท้าสีชมพูที่เคลือบด้วยครีมกระเทียม อัลมอนด์ และหอยเชลล์ที่หั่นบาง ๆ และประดับไปด้วยดอกไม้ที่รับประทานได้
Kei (เคะอิ)
ร้านอาหารนี้เป็นร้านที่ดูแลโดยเชฟ Kei Kobayashi (เคะอิ โคะบะยะชิ) เชฟชาวญี่ปุ่นคนแรกที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 3 ดวงในฝรั่งเศส เขาเป็นเชฟที่ได้รับการฝึกฝนกับเชฟฝีมือดีอย่าง Gilles Goujon (กิลเลส กูฌง) และ Alain Ducasse (อเลน ดูกาส) ซึ่งร้านอาหารนี้จะนำเสนอร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ฟิวชันอาหารไคเซกิแบบดั้งเดิม ซึ่งจะได้รสชาติและบรรยากาศของอาหารฝรั่งเศสและอาหารญี่ปุ่นไปพร้อม ๆ กัน
Le Meurice Alain Ducasse (เลอ เมอริส อเลน ดูคาส)
แน่นอนว่าถ้าเป็นร้านอาหารมิชลินสตาร์จะพลาดร้านนี้ไปไม่ได้ เพราะร้านอาหารนี้ได้รับการพลิกโฉมใหม่โดยเชฟ Alain Ducasse เชฟผู้ถือครองมิชลินสตาร์ที่มากที่สุดในปัจจุบัน โดยร้านอาหารนี้เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1835 ในฐานะห้องอาหารของโรงแรม Le Meurice ซึ่งนำเสนออาหารฝรั่งเศสสไตล์โมเดิร์นในบรรยากาศสุดหรูที่ทุกคนต้องมาลองเมนูแนะนำอย่าง Langoustine (กุ้งลังกูสทีน) หรือ Pithiviers (พายเนื้อ)
Pierre Gagnaire (ปิแอร์ กาแนร์)
ร้านอาหารชื่อดังที่มีชื่อเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเชฟ ซึ่งร้านอาหารนี้เปิดในปี 1996 โดยเชฟ Pierre Gagnaire เชฟผู้มีชื่อเสียงด้านการสร้างสรรค์เมนูฝรั่งเศสแนวนวัตกรรม ซึ่งจะนำเสนอเมนูแบบ 8 คอร์สที่เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลเพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสรสชาติที่ดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลา
เรียกได้ว่าทั้ง 5 ร้านอาหารเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงและอาหารอร่อยเท่านั้น แต่ยังมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารแบบฝรั่งเศสแท้ ๆ ที่ไม่ควรพลาดหากได้มาเยือนปารีสอีกด้วย แต่นอกเหนือจากทั้ง 5 ร้านอาหารนี้แล้วก็ยังมีร้านอาหารอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมาก เพราะฝรั่งเศสมีเมนูและวิธีการทำอาหารที่เริ่มต้นมาจากฝรั่งเศสเอง อย่างเช่นเมนูเหล่านี้
Escargots de Bourgogne (หอยทากเบอร์กันดี)
เมนูอาหารฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดตลอดกาล จานนี้เป็นอาหารประจำชาติฝรั่งเศสอันทรงคุณค่าที่มีการสืบเนื่องการรับประทานมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งส่วนมากมักรับประทานเป็นเมนูเรียกน้ำย่อย โดยมีการผสมผสานรสชาติของเนย กระเทียม พาสลีย์ หอมแดง ไวน์ขาว เกลือ และพริกไทย ที่ปรุงรสเข้าไปในเปลือกหอยทากสายพันธุ์ Bourgogne (บูร์กอญ) ให้รสชาติหวานเค็มกลมกล่อม
Confit de Canard (กงฟี เดอ คานาร์ด)
อีกหนึ่งเมนูอาหารฝรั่งเศสสุดคลาสสิกที่ใช้วิธีปรุงแบบดั้งเดิม ซึ่งเมนูนี้มีต้นกำเนิดมาจาก Gascony ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส โดยจานนี้จะเป็นการนำเป็ดไปหมักอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ก่อนนำไปตุ๋นในน้ำมันไฟอ่อนอีกประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง เพื่อเป็นการถนอมอาหารให้เก็บเนื้อเป็ดได้นานยิ่งขึ้น ก่อนจะนำมาทอดอีกครั้งเพื่อให้หนังด้านนอกกรอบ ในขณะที่เนื้อด้านในยังคงนุ่มชุ่มฉ่ำ
Macarons (มาการอง)
Macarons เป็นเมนูขนมหวานที่ไม่มีใครไม่รู้จัก ทำจากเมอแรงค์หวานที่ผสมไข่ขาว น้ำตาลไอซิ่ง น้ำตาลทราย อัลมอนด์ป่น และสีผสมอาหารเข้าด้วยกัน โดย Macarons เป็นเมนูที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนมาถึงช่วงทศวรรษ 1930 ที่เมนูนี้ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจนมาถึงในปัจจุบัน
Madeleines (มาเดอแลน)
เมนูขนมหวานรูปเปลือกหอยยอดนิยมของฝรั่งเศสที่มีประวัติยาวนานหลายร้อยปี ซึ่งมีที่มาจากการใช้เปลือกหอยมาเป็นแม่พิมพ์ขนม ให้เนื้อสัมผัสนุ่มฟู ทำจากไข่ น้ำตาล แป้ง และเนย เชื่อกันว่าต้นกำเนิดของ Madeleines เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 ในเมือง Commercy (คอมเมอร์ซี่) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส ตามตํานานเล่าว่าขนมชิ้นนี้ได้รับการตั้งชื่อตามเด็กสาวชื่อ Madeleine Paulmier (มาเดอแลน พอลมิเยร์) ซึ่งเป็นผู้ทำขนมชนิดนี้ให้กับดยุคที่เธอรับใช้
บทสรุป
เรียกได้ว่าฝรั่งเศสเป็นศูนย์รวมอาหารไฟน์ไดน์นิ่งที่เต็มไปด้วยบรรยากาศและรสชาติที่เต็มไปด้วยความพิถีพิถัน เนื่องจากมีการปรุงอาหารและเมนูที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่คิดค้นมาตั้งแต่อดีต จึงเป็นอาหารที่ถือได้ว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของโลกเลยทีเดียว
เรื่อง: ภริดา มุทิตาภรณ์
ที่มา:
https://www.cntraveller.com/gallery/best-restaurants-paris
https://www.shangpalaceparis.com
https://www.datil-restaurant.fr/en-us
https://www.timeout.com/paris/en/restaurants/best-restaurants-in-paris
https://pierregagnaire.com/en/pages/tous-les-restaurants
https://www.alainducasse-meurice.com/en
https://en.wikipedia.org/wiki/Macaron
https://frenchwink.com/blogs/journal/how-madeleines-became-a-classic-french-delicacy
–








