Work / มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของแต่ละคน ไม่ว่าจะทำงานในออฟฟิศไหนหรือประกอบธุรกิจใดก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งเสริมให้เราเติบโตไปข้างหน้า หรืออาจฉุดให้เราต้องติดหล่มอยู่กับที่ แต่มีอยู่ปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด นั่นก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง
หากความสัมพันธ์ระหว่างลูกน้องกับหัวหน้าราบรื่น การทำงานก็จะสะดวก งานจะสำเร็จได้เร็วขึ้น โอกาสที่ลูกน้องจะได้เลื่อนตำแหน่งหรือประสบความสำเร็จก็มีมากขึ้นตามไปด้วย แต่ในทางกลับกัน หากความสัมพันธ์นั้นไม่ดี ลูกน้องก็จะทำงานด้วยความรู้สึกที่ขมขื่น ไม่อยากเข้าไปขอคำแนะนำหรือความช่วยเหลือจากหัวหน้า จนในที่สุดก็หมดไฟในการทำงานและอาจตัดสินใจลาออกไปในที่สุด
ดังนั้น หากคุณกำลังเป็นลูกน้องที่เผชิญกับสถานการณ์นี้ ต่อจากนี้คือคำแนะนำที่จะช่วยให้คุณสานสัมพันธ์กับหัวหน้าได้อย่างแนบแน่น พร้อมผลักดันให้คุณก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพได้อย่างราบรื่นมากขึ้น

อ่านวิธีสั่งงานและจับจังหวะการสื่อสารของหัวหน้าให้ได้
วิธีแรกที่จะช่วยให้ลูกน้องรักษาความสัมพันธ์อันดีกับหัวหน้า ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน คือการรู้จักอ่านรูปแบบการสั่งงานและจับจังหวะการสื่อสารของหัวหน้าให้ถูกต้องแม่นยำ
เว็บไซต์ Fast Company ซึ่งรายงานความเคลื่อนไหวและแนะนำเทคนิคเพื่อความก้าวหน้าในโลกการทำงาน ได้แนะนำวิธีการนี้โดยอ้างอิงจากหนังสือด้านการสื่อสารชื่อดังอย่าง Managing Up: How to Get What You Need from the People in Charge ไว้ดังนี้
บางครั้งปัญหาความสับสนในการสื่อสารหรือรับคำสั่งจากหัวหน้าอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น หัวหน้าสื่อสารออกมาได้ไม่ชัดเจน หรือฝ่ายลูกน้องเองมีอคติกับหัวหน้าอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่เปิดใจรับสารที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่ออย่างเต็มที่
แต่ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขหรือบรรเทาให้ลดลงได้ หากลูกน้องสามารถสังเกตและเข้าใจลักษณะการสื่อสารของหัวหน้าได้อย่างถูกต้อง
โดยลูกน้องควรเรียนรู้ว่า หัวหน้าของตนนั้นมีรูปแบบการแสดงออกอย่างไร เมื่อจำเป็นต้องแสดงอำนาจในการออกคำสั่งหรือบังคับบัญชา (Dominance) และในขณะเดียวกัน ก็ควรสังเกตวิธีการที่หัวหน้าปฏิบัติกับคนรอบข้างในทางสังคม (Sociality) ว่าเขาใช้วิธีการใดในการรักษาสัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา
เมื่อลูกน้องเข้าใจแนวทางนี้แล้ว ก็จะสามารถจับจังหวะในการทำงานได้ดีขึ้น รู้ว่าช่วงเวลาใดควรเดินหน้าทำงานให้รวดเร็ว เพราะหัวหน้ากำลังจริงจังกับงานชิ้นนี้และอาจใช้ไม้แข็งกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม ในขณะเดียวกัน ก็ต้องรู้จักช่วงเวลาที่เหมาะสมในการผ่อนบรรยากาศลงมา เช่น การเอ่ยปากชม การแสดงกำลังใจ หรือแม้แต่การหยอกล้อกับหัวหน้าในระดับที่พอดี เพื่อช่วยรักษาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นและเป็นมิตรยิ่งขึ้น
รู้จังหวะว่าเมื่อไหร่ควรขอให้หัวหน้ายื่นมือมาช่วย
อีกวิธีที่สำคัญซึ่งจะช่วยให้ลูกน้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหน้า รวมถึงช่วยลดความตึงเครียดในการทำงาน และเสริมสร้างความสามัคคีในองค์กร คือการที่ลูกน้องควรรู้ว่า สถานการณ์ไหนควรเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากหัวหน้า
การขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมนั้นมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะสามารถป้องกันปัญหางานล่าช้า งานไม่เสร็จ หรือแม้แต่การต้องละทิ้งงานกลางคันเนื่องจากงานหนักเกินไป ทั้งยังช่วยไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องแบกรับภาระงานมากจนเกินกำลัง หรือกลายเป็น “เดอะแบก” ของทีมโดยไม่จำเป็น
ดังนั้น หากคุณเป็นลูกน้อง ก่อนจะตอบรับงานจากหัวหน้าก็ควรประเมินความสามารถและเวลาของตัวเองให้รอบคอบ เมื่อพบว่างานเริ่มหนักหรือเกินขีดความสามารถ ควรแจ้งให้หัวหน้าทราบแต่เนิ่นๆ และหากถึงจุดที่ต้องการความช่วยเหลือก็ควรบอกอย่างตรงไปตรงมา หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรมีการอัปเดตความคืบหน้าของงานให้หัวหน้าทราบอยู่เสมอ เพื่อให้หัวหน้าสามารถเตรียมการสนับสนุนหรือช่วยแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา
การปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารที่เปิดกว้าง เป็นการสื่อสารสองทางแบบ Give and Take เมื่อทำจนเป็นนิสัย หัวหน้าและลูกน้องก็จะสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ง่ายขึ้น ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็จะถูกแก้ไขได้รวดเร็ว ก่อนที่จะลุกลามจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อทั้งองค์กร
หากเกิดวิกฤต คิดให้รอบคอบก่อนพูดเสมอ
วิธีสุดท้ายที่จะช่วยให้ลูกน้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหน้า และทำให้การสื่อสารระหว่างกันมีประสิทธิภาพ คือการรู้จังหวะที่เหมาะสมเมื่อจำเป็นต้องแจ้งข่าวร้ายหรือปัญหาวิกฤตต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ควรคิดและวางแผนให้รอบคอบก่อนพูดเสมอ
เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นต้องบอกข่าวร้ายหรือแจ้งสถานการณ์ที่เป็นวิกฤต ควรเริ่มจากการส่งสัญญาณให้หัวหน้าทราบก่อนล่วงหน้า หลังจากที่ประเมินแล้วว่าสถานการณ์กำลังจะกลายเป็นวิกฤตจริงๆ แต่ก็ยังพอมีเวลาเพียงพอที่จะหาทางแก้ไขร่วมกันได้
ขณะที่กำลังสื่อสารถึงปัญหา ลูกน้องควรหลีกเลี่ยงการตำหนิ โยนความผิด หรือกล่าวโทษบุคคลอื่นๆ ควรเน้นไปที่รายละเอียดของสถานการณ์มากกว่าตัวบุคคล ที่สำคัญ ควรเว้นระยะให้หัวหน้ามีเวลาในการคิดหาทางแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม อย่ากดดันหรือเร่งรัดให้หัวหน้าต้องตอบกลับในทันทีทันใด ราวกับลืมไปว่าผู้ที่กำลังพูดคุยด้วยอยู่นั้นเป็นหัวหน้าหรือผู้มีตำแหน่งสูงกว่า
การทำเช่นนี้จะช่วยให้หัวหน้าไม่รู้สึกอึดอัดหรือหนักใจกับลูกน้อง และยังช่วยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจนทำให้หัวหน้าพร้อมที่จะสนับสนุน ให้ความช่วยเหลือ และกล้าที่จะนำทีมฝ่าวิกฤตไปพร้อมกันในทุกสถานการณ์ /fastcompany
–
