ศัลยกรรมและเสริมความงามกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกของผู้บริโภคนิยมใช้บริการเสริมภาพลักษณ์ตามความชอบให้กับตัวเอง

จึงไม่แปลกเลยที่ศัลยกรรมและเสริมความงามในไทยเติบโตขึ้นทุกปี และเป็นการเติบโตบนจำนวนในการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น

จากข้อมูล KResearch พบว่า ศัลยกรรมและเสริมความงามไทยมีการเติบโตด้านมูลค่าดังนี้

 

2564     มูลค่า 65,340 ล้านบาท

2565     มูลค่า 70,630 ล้านบาท

2566     มูลค่า 72,540 ล้านบาท

2567     มูลค่า 74,000 ล้านบาท

2568     มูลค่า 76,500 ล้านบาท

 

พร้อมกับจำนวนการใช้บริการที่เพิ่มขึ้นทุกปี

2564     จำนวน 136,211 ครั้ง

2565     จำนวน 170,664 ครั้ง

2566     จำนวน 173,840 ครั้ง

2567     จำนวน 177,000 ครั้ง

2568     จำนวน 180,600 ครั้ง

การเติบโตของตลาด Marketeer มองว่าส่วนหนึ่งมาจาก

1. ผู้บริโภคชาวไทยมองการทำศัลยกรรมและเสริมความงามไม่ใช่เรื่องน่าอาย และพร้อมที่จะเปิดเผย แนะนำ บอกต่อไปยังบุคคลอื่น ๆ ที่สนใจ

และการทำศัลยกรรมและเสริมความงามในไทยมีโปรแกรมผ่อนชำระที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินในก้อนเดียว

ประกอบกับคนไทยใจร้อน ต้องการผลลัพธ์ด้านความงามอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นสิ่งที่สกินแคร์ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด และทำให้หันมาใช้บริการศัลยกรรมและเสริมความงามในด้านต่าง ๆ เช่น หัตถการที่ให้ผลรวดเร็ว

2. ฐานผู้ใช้บริการศัลยกรรมและเสริมความงามขยายตัวไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีอายุเด็กลงที่เห็นการทำศัลยกรรมและเสริมความงามเป็นหนึ่งในบริการที่ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ ช่วยดูแลปกป้องผิวก่อนเสื่อมสภาพ

รวมถึงขยายไปยังกลุ่มสูงวัยมากขึ้น ซึ่ง KResearch มองว่าการเข้าสู่สังคมสูงวัยเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ศัลยกรรมและเสริมความงามที่ช่วยชะลอวัยมีการเติบโต และเป็นตลาดที่สำคัญในอนาคต เพราะภายในปี 2571 ประเทศไทยจะมีจำนวนผู้สูงอายุ 14 ล้านคน โดย 22% ของผู้สูงวัยเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและความเต็มใจจ่ายให้กับบริการที่ชะลอวัย เช่น ดึงหน้า, ทำหน้าอก, ดูดไขมัน ลดริ้วรอย เป็นต้น

นอกจากนี้ ศัลยกรรมและเสริมความงามยังขยายฐานไปยังกลุ่มผู้ชายมากขึ้น ตามกระแสการหันมาดูแลตัวเองผู้ชาย จากข้อมูลของ TTB Analytic พบว่า

กลุ่มวัยรุ่นชาย มีอัตราการการเติบโตในการทำศัลยกรรมและเสริมความงาม 65%

กลุ่มชายวัยทำงาน เติบโต 20%

3. เทคโนโลยีของศัลยกรรมและเสริมความงามมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และความสามารถของทีมแพทย์ที่ช่วยแก้ไขข้อบกพร่อง ช่วยเสริมความงาม สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในรูปแบบที่ต้องการ บนองค์ความรู้ของคนไทยที่มีต่อเทคโนโลยี เทคนิคด้านความงามที่เพิ่มขึ้นมาก

4. จากข้อมูลของ KResearch พบว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นหนึ่งในตัวแปรส่งที่เสริมให้ตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามในประเทศไทยเติบโต จากศัลยกรรมและเสริมความงามเป็นหนึ่งในบริการทางการแพทย์ที่ชาวต่างชาตินิยมเข้ามาใช้บริการเป็นอันดับสอง โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักคือ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น และมีกลุ่มลูกค้าใหม่เป็นกลุ่มอาเซียนที่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น

ส่วนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5% ต่อปี

และการเข้ามาทำศัลยกรรมและเสริมความงามในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น KResearch คาดการณ์ว่าปี 2568 กลุ่มโรงพยาบาลมีสัดส่วนเป็น 15% จากมูลค่าศัลยกรรมและเสริมความงามทั้งหมด เพิ่มจากปี 2564 ที่มีเพียง 10% เท่านั้น

ส่วนสัดส่วนมูลค่าจากคลินิกในปี 2568 มีสัดส่วนลดลงอยู่ที่ 85%

สำหรับเทรนด์ศัลยกรรมและเสริมความงามในประเทศไทย อ้างอิงจาก KResearch พบว่าในปี 2566 ลูกค้าส่วนใหญ่ใช้บริการในรูปแบบผ่าตัดมากถึง 79% เพิ่มจากปี 2562 ที่มีสัดส่วน 75% จากความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีที่ทันสมัย ความปลอดภัย และใช้เวลาฟื้นตัวน้อย

โดย ศัลยกรรมผ่าตัดที่นิยมมากที่สุด ได้แก่

ตา 16%

จมูก 10%

หน้าอก 9%

ส่วน 21% ที่เป็นศัลยกรรมแบบไม่ผ่าตัด จะนิยมฉีดโบท็อกซ์, ไฮยาลูรอน ยกกระชับหน้าและลำคอ

 

อย่างไรก็ดี สำหรับตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามไทยยังเป็นตลาดที่มีโอกาสและความท้าทายจากเทรนด์ความงามโลก ที่อาจมายังตลาดไทย

ข้อมูลจากกัลเดอร์มา (ประเทศไทย) พบว่าในปี 2568 เทรนด์ความงามโลกประกอบด้วย 6 เทรนด์หลัก ได้แก่

1. Proactive Beauty: ความงามที่เน้นการแก้ไขปัญหาริ้วรอย เปลี่ยนสู่การดูแลรักษาเชิงป้องกัน ที่มุ่งเน้นการป้องกันหรือชะลอปัญหา มากกว่าการรักษาแก้ไข

และทำให้ผู้บริโภคโลกเริ่มตระหนักการใช้คอลลาเจน และหัตถการหรือทรีตเมนต์เสริมความงาม ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย ปกป้องผิวก่อนเสื่อมสภาพตามวัย

2. Mindful Aesthetics: ผู้บริโภคตระหนักถึงความยั่งยืนและความเป็นธรรมชาติ และเลือกใช้สินค้าที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย ใช้ส่วนประกอบจากพืช ปราศจากสารแต่ง และมองหาเวชศาสตร์ความงามที่ให้ผลลัพธ์ที่มีความเป็นธรรมชาติ ดูผิวสวย สุขภาพดี

3. Fast Aesthetics: ความงามได้รับอิทธิพลจากโซเชียลมีเดียและคนดัง ทำให้เกิดเทรนด์ความงามใหม่ ๆ และกลายเป็น ‘Must-have’ เทรนด์ในชั่วข้ามคืน แต่ก็อาจเสื่อมความนิยมไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

เช่น เทรนด์ ริมฝีปากสไตล์รัสเซีย (Russian Lips) หรือดวงตาแบบ Fox Eyes เป็นต้น

4. Beauty Fandom: ปรากฏการณ์แฟนด้อมและโลกดิจิทัลสร้างความหลงใหลในความงามแบบเฉพาะกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นหลงใหลในศิลปิน เซเลบริตี้ ไอคอนทางวัฒนธรรม อนิเมะ หรือฟิลเตอร์ดิจิทัล ซึ่งความหลงใหลเหล่านี้กระตุ้นให้กลุ่มแฟนด้อมอยากที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมือนกับไอคอนที่ชื่นชอบ เช่น การปรับลุคตามแฟชั่น Barbiecore หรือ Fairycore การศัลยกรรมใบหูให้ดูเหมือนเอลฟ์ (Fairy Ear Surgery) แต่การให้บริการของแพทย์ด้านความงามตามเทรนด์นี้ถือเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและยังเป็นที่ถกเถียงกันในแง่จริยธรรมและขอบเขตความเหมาะสม

5. Expressionality: ทุกคนกำลังอยู่ในยุคที่ส่งเสริมให้การแสดงอัตลักษณ์ความเป็นตัวเอง ผ่านแฟชั่น ทรงผม การแต่งหน้า และการเสริมความงาม เทรนด์นี้สะท้อนถึงความงามที่เปิดกว้าง ไม่ถูกจำกัดด้วยเพศ วัฒนธรรม หรือค่านิยมดั้งเดิม ซึ่งจะเห็นว่าผู้ชายเริ่มให้ความสนใจความงามกันมากขึ้น ส่วนผู้หญิงกล้าฉีกกรอบทดลองปรับลุคในแบบที่แตกต่างจากมาตรฐานเดิม

และหลาย ๆ คนมองหาความงามในแบบที่เหมาะเป็นตัวเอง โดยพบว่า 8 ใน 10 ของคนเจน Z และมิลเลนเนียล เชื่อว่านิยามความงามที่สำคัญที่สุดคือ ‘การเป็นตัวของตัวเอง’

6. Cancelling Age: ความแก่ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะทัศนคติที่มีต่ออายุในอุตสาหกรรมความงามกำลังเปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันผู้บริโภคไม่ได้ต้องการให้ผิวเด็กลง แต่อยากคงสภาพผิวของใบหน้าและองค์รวมให้ดูสุขภาพดีเหมาะกับแต่ละช่วงวัย จึงให้ความสำคัญกับดูแลผิวในระยะยาวและสนใจหัตถการ หรือเทคโนโลยีความงามที่ช่วยเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงจากภายใน เช่น การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เป็นต้น


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer