เนสกาแฟ กำลังเจอความท้าทายบทใหม่ที่ต้องชะงักเพราะการผลิต (วิเคราะห์)
ตลาดกาแฟในบ้านมูลค่า 33,000 ล้านบาท เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อผู้นำตลาดอย่างเนสกาแฟ แบรนด์กาแฟจากบริษัทเนสท์เล่ (ไทย) ประสบกับความท้าทายของการถูกสั่งห้ามการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้ากาแฟสำเร็จรูปเครื่องหมายการค้าเนสกาแฟในประเทศไทย จากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งมีนบุรี เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา
การสั่งคุ้มครองชั่วคราวในครั้งนี้ ชนวนเริ่มต้นจาก เนสท์เล่ ประเทศไทย ไม่ต่อสัญญากับบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัดเมื่อหมดอายุสัญญา
โดย บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด บริษัทที่เนสท์เล่ร่วมทุนกับประยุทธ์ มหากิจศิริ ในสัดส่วนการลงทุน 50 : 50 ตั้งแต่ปี 2532 เพื่อเปิดโรงงานผลิตกาแฟแบรนด์เนสกาแฟในประเทศไทย จากความต้องการย้ายการผลิตเนสกาแฟมาสู่โรงงานใหม่แห่งนี้ เริ่มต้นเดินเครื่องจักรครั้งแรกในปี 2533
ซึ่งถือเป็นการร่วมทุนหลังจากเนสท์เล่เปิดตัวเนสกาแฟในประเทศไทยในปี 2516 หลังจากซื้อกิจการบริษัทยูไนเต็ดมิลค์ จำกัด และร่วมทุนกับบริษัทกาแฟผงไทย จำกัด เพื่อผลิตกาแฟสำเร็จรูปตราเนสกาแฟ เนสท์เล่ ดีโค และ กาแฟปรุงสำเร็จ ทรีโอ เนสกาแฟ
จนปัจจุบันเนสกาแฟกลายเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดกาแฟในบ้านมาอย่างยาวนาน
ซึ่งตลาดกาแฟในบ้าน มูลค่า 33,000 ล้านบาท
แบ่งเป็นกาแฟ 3 in 1 สัดส่วน 49% ในตลาดรวม มีเนสกาแฟเป็นเบอร์หนึ่งในตลาด
กาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม สัดส่วน 31%
กาแฟสำเร็จรูป สัดส่วน 14% โดยเนสกาแฟมีสัดส่วนยอดขายในตลาดนี้อย่างน่าสนใจ ผ่านการขายปลีก และขายให้กับร้านค้าต่าง ๆ
กาแฟเพื่อสุขภาพ สัดส่วน 6%
เท่ากับว่าเมื่อเนสท์เล่ไม่สามารถผลิตและจัดจำหน่ายเนสกาแฟล็อตใหม่ ๆ ที่เกิดจากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว หลังจากที่สินค้าล็อตเก่าหมดจากตลาดไป แบรนด์เนสกาแฟจะหายไปจากตลาดไทยอย่างเสียไม่ได้ ที่มาพร้อมกับรายได้ของเนสท์เล่ที่ขาดหายไปจากเนสกาแฟ
แม้เนสท์เล่จะไม่มีการเปิดเผยรายได้ของเนสกาแฟ แต่ถ้าดูจาก บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด ผู้ผลิตเนสกาแฟ จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่ามีผลประกอบการ ที่น่าสนใจ
ปี 2562 รายได้รวม 15,177.52 ล้านบาท กำไร 3,389.32 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้รวม 15,772.71 ล้านบาท กำไร 3,683.33 ล้านบาท
ต่อมาปี 2564 รายได้รวม 15,459.98 ล้านบาท กำไร 3,704.92 ล้านบาท
ส่วนปี 2565 รายได้รวม 17,115.35 ล้านบาท กำไร 3,403.21 ล้านบาท
และปี 2566 รายได้รวม 17,183.97 ล้านบาท กำไร 3,068.00 ล้านบาท
และทำให้คู่แข่งช่วงชิงกลุ่มลูกค้าไปได้ไม่ยากถ้าเนสท์เล่ไม่สามารถยุติสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์ดังกล่าวนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากในปี 2564 เนสท์เล่ (ไทย) ได้แจ้งยุติสัญญาให้ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด ผลิตเนสกาแฟให้กับเนสท์เล่ ทำตลาด และจัดจำหน่าย ที่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 หลังศาลอนุญาโตตุลาการได้ตัดสินให้เกิดการยุติสัญญาดังกล่าว
การยกเลิกสัญญาในครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 หลังศาลอนุญาโตตุลาการได้ตัดสินเป็นที่สิ้นสุด และเนสท์เล่มีอำนาจในการบริหารงาน การผลิต การจัดจำหน่าย รวมถึงการตลาดเนสกาแฟ โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตเนสกาแฟเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่
ภายใต้การยกเลิกสัญญา เนสท์เล่ เอส.เอ. บริษัทแม่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ยังยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ขอยกเลิกกิจการ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด ที่ร่วมทุนกันมาอย่างยาวนาน
และตามมาด้วยข้อพิพาท ที่ เฉลิมชัย มหากิจศิริ ลูกชายประยุทธ์ ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อดำเนินคดีบริษัทในเครือเนสท์เล่ จนมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ในวันที่ 3 เมษายน 2568 ศาลแพ่งมีนบุรี
วันที่ 8 เมษายน 2568 เนสท์เล่ ยื่นคัดค้านคำสั่งศาลที่ศาลแพ่งมีนบุรี และศาลจะนัดไต่สวนต่อไป
เหตุการณ์ในครั้งนี้อาจเป็นหนึ่งในการปิดฉาก เนสกาแฟ ประเทศไทย ที่เกิดจากพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ ถ้าเนสท์เล่ ไม่สามารถชนะคดีจากการยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวได้
ซึ่งที่ผ่านมาเหตุการณ์การแยกทางเดินของพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจจนกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงและฟ้องร้องครั้งใหญ่ในวงการได้เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง
เช่น การฟ้องร้องของ Pizza Hut ที่ต้องการขอแบรนด์คืนจากไมเนอร์ฟู้ด ผู้ถือสิทธิ์แฟรนไชส์ในประเทศไทย จากความต้องการบริหารแบรนด์ด้วยตัวเองของบริษัทแม่ Pizza Hut
และถึงแม้ Pizza Hut จะชนะคดี แต่ได้เกิดการแข่งขันครั้งใหม่ เมื่อไมเนอร์ฟู้ดเปิดแบรนด์ Pizza Company มาแข่งขัน
แบรนด์ Pepsi ขอยกเลิกสัญญาเสริมสุข ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่าย เพื่อทำธุรกิจเอง และ Pepsi เป็นผู้ชนะคดีความ จนเสริมสุขต้องยุติการผลิต จัดจำหน่าย Pepsi และสร้าง แบรนด์ est มาแข่งขัน
ส่วนธุรกิจของ Pepsi ในประเทศไทยต้องชะลอตัวลงจากการขาดแคลนสินค้าและช่องทางจัดจำหน่ายที่ต้องใช้เวลาในการสร้างธุรกิจให้กลับมาสดใสอีกครั้ง
–
Website : Marketeeronline.co /
