LG Electronics ประกาศว่า บริษัทจะถอนตัวจากธุรกิจเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) หลังจากเข้ามาดำเนินการได้เพียง 3 ปี เนื่องจากความต้องการในตลาดยังซบเซาต่อเนื่อง และการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น

การตัดสินใจครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างเชิงกลยุทธ์ เพื่อมุ่งเน้นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเครื่องทำความร้อน การระบายอากาศ และเครื่องปรับอากาศ (HVAC) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจเติบโตสำคัญภายใต้ฝ่ายโซลูชันด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัท

“จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของสภาพแวดล้อมธุรกิจ รวมถึงภาวะอุปสงค์ชะลอตัวอย่างยาวนาน หรือที่เรียกว่า ‘chasm’ และการแข่งขันด้านราคาที่ทวีความรุนแรง เราจึงตัดสินใจยุติการดำเนินธุรกิจเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า” ตัวแทน LG Electronics กล่าว

HiEV Charger ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ LG ที่รับผิดชอบการผลิตเครื่องชาร์จ EV จะเริ่มดำเนินการขั้นตอนการชำระบัญชี โดย LG ยืนยันว่าจะโยกย้ายพนักงานทุกคนในธุรกิจนี้ไปสังกัดหน่วยงานอื่นภายในบริษัท

แม้จะยุติการดำเนินธุรกิจดังกล่าว LG ระบุว่าจะยังคงให้บริการบำรุงรักษาและสนับสนุนลูกค้าปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง

LG เริ่มเข้าสู่ตลาดเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2018 ผ่านการวิจัยและพัฒนาขั้นต้น ก่อนจะเข้าซื้อกิจการ HiEV Charger (เดิมชื่อ AppleMango) ในปี 2022 และเริ่มติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานในห้าง E-mart และสถานที่อื่น ๆ ในเกาหลีใต้

Cho Joo-wan ซีอีโอของ LG เคยระบุว่าธุรกิจเครื่องชาร์จ EV เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเติบโตแห่งอนาคต และตั้งเป้าขยายรายได้จากธุรกิจนี้ให้แตะ 1 ล้านล้านวอนภายในปี 2030 เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายรายได้รวม 100 ล้านล้านวอนของบริษัท

ต้นปีที่ผ่านมา LG ได้ก่อตั้งฐานการผลิตเครื่องชาร์จในรัฐเท็กซัส และจับมือเป็นพันธมิตรกับ ChargePoint ผู้ให้บริการเครื่องชาร์จ EV รายใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ พร้อมเปิดตัวเครื่องชาร์จทั้งแบบช้าและเร็วในตลาดเกาหลีและอเมริกาเหนือ

LG ยังตั้งเป้าครองส่วนแบ่ง 8% ในตลาดเครื่องชาร์จเร็วของสหรัฐภายในปี 2030 และก้าวขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก

อย่างไรก็ตาม HiEV Charger ขาดทุนอย่างหนักติดต่อกันสองปี โดยในปี 2023 มีรายได้ 5.9 พันล้านวอน แต่ขาดทุนจากการดำเนินงาน 7 พันล้านวอน และในปี 2024 มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 10.6 พันล้านวอน แต่ยังขาดทุนถึง 7.2 พันล้านวอน

สรุปสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ธุรกิจเครื่องชาร์จ EV ของ LG ไม่ประสบความสำเร็จและขาดทุนหนัก 

 

1. ความต้องการตลาดไม่โตตามคาด (Demand Stagnation)
แม้เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตทั่วโลก แต่ “ตลาดเครื่องชาร์จ” โดยเฉพาะในเกาหลีใต้และอเมริกาเหนือ กลับขยายตัวช้ากว่าที่หลายบริษัทประเมินไว้ ผู้บริโภคจำนวนมากยังลังเลกับการซื้อ EV และโครงสร้างพื้นฐานเดิมยังเพียงพอต่อความต้องการ ทำให้ดีมานด์ใหม่ไม่เร่งตัวตามเป้าหมายที่ LG วางไว้

 

2. แข่งขันด้านราคาดุเดือด (Intense Price Competition)ผู้เล่นรายใหญ่

เช่น Tesla, ChargePoint, และบริษัทจีน ต่างเร่งลดต้นทุนและตัดราคาขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด ทำให้ LG ซึ่งมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าหลายเจ้าต้องตั้งราคาขายไม่แข่งขันพอ และแบกรับต้นทุนต่อหน่วยสูงเกินไป

3. ต้นทุนการลงทุนสูง แต่คืนทุนช้า (Heavy Investment, Slow Payback)
LG ทุ่มเงินลงทุนในโรงงานผลิตเครื่องชาร์จ EV ทั้งในเกาหลีและรัฐเท็กซัส พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายพันธมิตร เช่น ChargePoint แต่ธุรกิจเครื่องชาร์จต้องใช้เวลานานกว่ารายได้จะเติบโตจนคืนทุนได้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับแรงกดดันด้านผลประกอบการที่บริษัทเผชิญ

 

4. ปัญหาโครงสร้างตลาด (Market Structure Challenges)

ตลาดเครื่องชาร์จ EV เป็น B2B (ธุรกิจต่อธุรกิจ) ที่ต้องแข่งขันเรื่อง “ดีลใหญ่” กับห้างสรรพสินค้า หรือลานจอดรถขนาดใหญ่ ซึ่งต้องใช้ต้นทุนในการประมูล และมีเงื่อนไขสัญญายาวนาน

ลูกค้ารายย่อยมีจำนวนไม่มากพอในช่วงนี้ และมักเลือกผู้ให้บริการที่มีเครือข่ายครอบคลุมมากกว่าแบรนด์ใหม่อย่าง LG

 

5. “Chasm” หรือ “ช่องว่าง” การยอมรับเทคโนโลยี
ในธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ ๆ มักเจอช่วงที่เรียกว่า Chasm คือช่วงเวลาที่กลุ่มผู้ใช้งานระยะเริ่มต้น (early adopters) ยังไม่มากพอที่จะผลักดันให้ตลาดขยายไปสู่กลุ่มผู้ใช้ทั่วไป (mainstream users) ธุรกิจเครื่องชาร์จ EV ของ LG ติดอยู่ในช่วงนี้ ทำให้การเติบโตสะดุด

 

6. ภาระขาดทุนสะสม (Operational Losses)
แม้รายได้ปี 2024 จะเพิ่มขึ้น (จาก 5.9 พันล้านวอนเป็น 10.6 พันล้านวอน) แต่ยังขาดทุนหนักถึง 7.2 พันล้านวอน เพราะต้นทุนคงที่สูง และยอดขายจริงต่ำกว่าคาดการณ์มาก

สรุปคือ LG เข้าใจตลาดผิดพลาดในจังหวะที่ EV ยังไม่บูมพอ, คู่แข่งทุ่มสงครามราคา, ลงทุนสูงเกินตัว และโครงสร้างตลาด B2B ทำให้เจาะได้ยาก จึงต้องยุติธุรกิจนี้ก่อนจะกลายเป็น “หลุมดำ” ที่ดูดเงินบริษัทต่อไปเรื่อย ๆ

 

ทำไม Tesla และ ChargePoint ประสบความสำเร็จ เขาทำต่างจาก LG อย่างไร:

1. Tesla: สร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ของตัวเอง

ไม่แค่ขายเครื่องชาร์จ แต่ขาย “ประสบการณ์ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า” ทั้งระบบ Tesla ไม่ได้มองเครื่องชาร์จแยกจากรถยนต์ แต่สร้างเครือข่าย Supercharger เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้คนซื้อรถ Tesla ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น

วางเครื่องชาร์จในโลเคชันเชิงกลยุทธ์
Tesla ลงทุนวาง Supercharger ตามเส้นทางเดินทางระยะไกล, ใกล้แหล่งชุมชน, ห้าง, โรงแรม ฯลฯ เพื่อรองรับพฤติกรรมคนเดินทาง ไม่ใช่แค่ “ตั้งตามจำนวน”

เทคโนโลยีควบคุมทั้งหมดเองตั้งแต่ฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์, ไปจนถึงแอปมือถือ Tesla ทำเองหมด ทำให้ประสบการณ์ใช้งานไหลลื่น และบำรุงรักษาง่ายกว่าคนที่ซื้อชิ้นส่วนจากหลายเจ้ามาต่อกัน (เช่น LG)

 

Tesla มอง “การชาร์จ” เป็น “หนึ่งในเหตุผลที่ลูกค้าจะเลือกแบรนด์ Tesla” ไม่ใช่แค่ธุรกิจทำกำไร

2. ChargePoint: โฟกัส B2B อย่างแท้จริงเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรตั้งแต่ต้น
ChargePoint มองว่าตลาดผู้ใช้ตามบ้านจะโตช้า แต่บริษัท, ห้าง, ออฟฟิศ, โรงแรม, และรัฐบาล ต้องการเครื่องชาร์จทันทีเพื่อตอบโจทย์ ESG (สิ่งแวดล้อม) และรองรับ EV ของพนักงาน

โมเดลรายได้แบบ SaaS (Software-as-a-Service)
ChargePoint ไม่ได้แค่ขายหัวชาร์จ แต่ขาย แพลตฟอร์มบริหารจัดการ เช่น ระบบดูสถานะเครื่องชาร์จ, การจ่ายเงิน, การจัดคิว, ระบบบำรุงรักษา โดยเก็บค่าสมาชิกต่อปี

ไม่แบกต้นทุนฮาร์ดแวร์หนัก
ChargePoint ทำหลายรูปแบบ เช่น ให้บริษัทคู่ค้าผลิตฮาร์ดแวร์ตามสเปกของตัวเอง แล้วเก็บรายได้จากค่าบริหารระบบ ทำให้ขยายตลาดได้เร็วกว่า LG ที่ลงทุนผลิตเองทุกชิ้น

 

ChargePoint ขาย “ระบบบริหารสถานีชาร์จ” มากกว่าขายแค่ “ตัวเครื่อง”

3. LG: พลาดที่ทำ “ฮาร์ดแวร์” อย่างเดียว ไม่สร้างระบบ

LG ผลิตเครื่องชาร์จเอง ลงทุนสูง แต่ไม่มีระบบซอฟต์แวร์ควบคุมแบบครบวงจร

ไม่ได้สร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์หรือการใช้รถ EV โดยตรง

รุกตลาด B2C และ B2B พร้อมกันแบบกว้าง ๆ แต่ไม่มีจุดแข็งเฉพาะทางเหมือน Tesla หรือ ChargePoint

เจาะตลาดต่างประเทศเช่นอเมริกา แต่ยังไม่มีแบรนด์เครื่องชาร์จที่แข็งแรงพอแข่งกับแบรนด์ท้องถิ่น / koreaherald

 

 

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer