AP Thailand เดินหน้าฟื้นความมั่นใจคอนโดเมืองใหญ่ เมื่อประสบการณ์กลายเป็นบทเรียน และความเชื่อมั่นกำลังถูกสร้างใหม่
ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ไม่เพียงแค่อาคารที่สั่นคลอน แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มคนเมือง ก็ได้รับแรงกระเพื่อมไม่น้อย หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า คอนโดฯ ยังน่าอยู่อีกหรือไม่? ยังปลอดภัยเพียงพอหรือเปล่า?
Marketeer เดินทางมาพูดคุยกับ คุณกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม Chief Business Group – Condominium (CBG) จาก AP Thailand บริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของไทย ถึงประเด็นการถอดบทเรียนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว มองอนาคตตลาดคอนโดฯ ไทย และวิธีการเรียกความมั่นใจผู้บริโภคกลับคืนมา ผ่าน Case study อย่างการรับมือวิกฤตในพื้นที่จริงของ AP เอง
รับมือกับวิกฤติในพื้นที่จริง
“เราต้องยอมรับว่า…เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้มีนัยสำคัญต่อ ‘ความรู้สึก’ และ ‘ความเชื่อมั่น’ ของคนที่อยู่แนวสูงแน่ ๆ จะมากน้อยแตกต่างกันไป” คุณกมลทิพย์ เริ่มต้นด้วยบทสนทนาที่น่าสนใจ
เธออธิบายว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ทำให้เพียงแค่โครงสร้างสั่นสะเทือน แต่กระทบถึงจิตใจและพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วย
“ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยเริ่มหันมาศึกษาข้อมูลมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้าง ตลอดจน Developer ที่เป็นผู้พัฒนาโครงการ ว่าพร้อมแค่ไหนที่จะดูแลช่วยเหลือในยามที่เกิดวิกฤติ”

ย้อนกลับไปในวันที่ 28 มีนาคม 2568 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นบททดสอบสำคัญของAP ในฐานะผู้นำตลาดคอนโดมิเนียม สิ่งที่เอพีทำทันทีหลังเกิดเหตุ นอกเหนือจากการอพยพลูกบ้านแล้ว คือการให้วิศวกรของบริษัทเข้าตรวจสอบความเสียหายทันที
“เราตัดสินใจรบกวนวิศวกรอาวุโสที่มีชื่อเสียงจำนวน 4 ท่าน ซึ่งเป็น 3rd party เข้ามาตรวจสอบทุกโครงการแนวสูง รวมทั้งโครงการ Non-AP ที่ Smart เป็นคนบริหาร”
ทุกโครงการจึงได้รับ Certificate รับรองความปลอดภัย พร้อมอัปโหลดให้ดูรายโครงการผ่าน Facebook และ Smart World application ในทันที เนื่องจากมองว่าลูกค้าไม่ควรต้องรอ checklist ที่สรุปภาพรวม แต่ควรจะรู้สถานะบ้านของตัวเองจริง ๆ แบบโครงการต่อโครงการ
แม้ค่าใช้จ่ายจะสูง แต่คุณกมลทิพย์บอกว่า สำหรับAP “ความสบายใจของลูกค้า สำคัญที่สุด”
APเน้นย้ำคำกล่าวข้างต้นด้วยการลงมือซ่อมแซมส่วนกลางล่วงหน้าในหลายโครงการโดยไม่รอเคลมประกัน ซึ่งAPได้ Advanced งบล่วงหน้าราว 300 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูให้พื้นที่ส่วนกลางต่าง ๆ กลับสู่สภาวะปกติ
“แม้หลายคนมองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแรงกระเพื่อมทางจิตวิทยา แต่APกลับมองว่า สิ่งสำคัญคือการลงมือจริง เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าทุกคนหน้างานทำกันอย่างสุดความสามารถ สร้างความอุ่นใจไปอีกขั้น”

ในแง่โครงสร้างAPไม่ได้หยุดเพียงแค่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยกระดับไปอีกขั้นผ่านมาตรฐานภายในที่เรียกว่า “AP CODE” ซึ่งควบรวมทั้งกฎกระทรวง และอัปเดตมาตรฐานใหม่ ๆ ที่ AP เห็นว่าสำคัญต่อคุณภาพชีวิตลูกค้า
“อย่างใน High-Rise คอนโดที่เราเตรียมเปิดตัวในครึ่งปีหลังนี้ เราได้เพิ่มมาตรฐานใหม่ เช่น เสริมเหล็กแกนผนัง Lift Core มากกว่ากฎหมายกำหนด และติดตั้ง Seismic Earthquake Sensor ในลิฟต์เพื่อเตือนและหยุดลิฟต์ในชั้นที่ใกล้ที่สุดกรณีเกิดแรงสั่น”
AP CODE ยังให้ความสำคัญกับ 4 จุดโครงสร้างสำคัญ ได้แก่

1.เสา (Column) ส่วนสำคัญในการรับน้ำหนักตัวอาคารในแนวดิ่ง โดย AP CODE กำหนดขนาดและจำนวนเสาที่เหมาะสมในแต่ละโครงการ เพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรงเพียงพอ
2.เสาเข็มและฐานราก รับน้ำหนักจากเสาลงสู่ดินลึกด้านล่าง โดยใช้เข็มเจาะขนาดใหญ่และลึก เพื่อกระจายน้ำหนักและต้านแรงสั่นสะเทือนที่มาจากใต้ดิน
3.Shear Wall (ผนังรับแรงเฉือน) ซึ่งเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของอาคาร ช่วยรับแรงด้านข้าง แรงบิด ที่มาจากแรงลม แรงแผ่นดินไหว อาคารสูงที่ได้รับการออกแบบให้มี Shear Wall ช่วยรับแรง จะทำให้องค์อาคารมีความแข็งแรงมากขึ้น
4.ระบบพื้นอัดแรง (Post-Tension Slab) ระบบพื้นที่ไร้คาน ที่ใช้เทคนิคการอัดแรงภายหลังเข้ามาช่วยในการก่อสร้าง เพื่อให้โครงสร้างพื้นมีลักษณะที่โก่งขึ้น ทำให้ความสามารถในการรับน้ำหนักที่มากขึ้น เกิดการแอ่นตัวที่น้อยลง
ทั้ง 4 ส่วนนี้คือ โครงสร้างหลักของอาคาร ที่ทำให้อาคารมีความแข็งแรงตามหลักวิศวกรรม ที่APใช้เป็นมาตรฐานควบคุมการออกแบบและก่อสร้างคอนโด

“และในปี 2568 นี้ ‘AP CODE’ ได้รับการอัปเดตอีกขั้น เพื่อเพิ่มมาตรฐานด้านความปลอดภัยให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเราจะติดตั้ง ระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับแผ่นดินไหวในลิฟต์โดยสาร หรือ Seismic Sensor – Earthquake Emergency Operation in Elevator
เริ่มที่โครงการ ASPIRE อ่อนนุช สเตชั่น เป็นที่แรก ซึ่งนับเป็นการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยเหนือกว่าคอนโดทั่วไปในตลาด ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบและความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจและสบายใจยิ่งขึ้น” คุณกมลทิพย์กล่าวย้ำ
โอกาสใหม่หลังวิกฤติ
เมื่อพูดถึงวิกฤตใหญ่ที่ผ่านมาในไทย ทั้งน้ำท่วมปี 2554 โควิด-19 และแผ่นดินไหวปีนี้ คุณกมลทิพย์ให้ความเห็นว่า “ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมตามบริบทของวิกฤติจริง ๆ ค่ะ แต่มันไม่ใช่การเปลี่ยนแบบถาวร มันคือการโยกความรู้สึก”
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ตอนน้ำท่วมปี 2554 หลายคนที่เคยอยู่บ้านแนวราบ เริ่มเปลี่ยนมาซื้อคอนโด เพราะรู้สึกว่าอยู่สูงแล้วปลอดภัยกว่า แต่พอช่วงโควิด-19 กลับกลายเป็นตรงข้าม ผู้คนเริ่มโหยหาพื้นที่ส่วนตัว อยากมีบ้าน มีสวน มีพื้นที่ทำงาน ก็เกิดกระแสการย้ายออกจากคอนโดกลับไปซื้อบ้านอีกครั้ง
เธออธิบายว่าในแต่ละช่วงเวลาก็มีการเคลื่อนของความต้องการ เช่น จากแนวราบสู่คอนโด หรือกลับจากคอนโดสู่แนวราบ แต่สุดท้าย “ทั้งสอง Product ไม่สามารถทดแทนกันได้จริง ๆ”
นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอมั่นใจว่า คอนโดในเมืองยังมีอนาคต
“เหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้หลายคนเกิดความกังวล และตั้งคำถามกับการใช้ชีวิตในคอนโดว่า “ปลอดภัยไหม” “น่าอยู่ไหม” และ “ควรเลือกอยู่ต่อไปหรือเปล่า?
“เรามองว่า วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้ลดทอนโอกาสของคอนโดในเมืองใหญ่ ในทางกลับกันมันยิ่งตอกย้ำว่าคอนโดยังเป็น “พื้นที่สำคัญ” สำหรับคนเมือง ด้วยปัจจัยหลัก ๆ 2 เรื่องคือ
1.ข้อจำกัดของพื้นที่ในเมือง ทั้งในมิติของที่ดินหายากและมีขอจำกัดมากขึ้น ตลอดจนราคาที่สูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้การพัฒนาแนวสูงยังคงเป็นคำตอบหลักของการอยู่อาศัยในเมือง
2.ไลฟ์สไตล์คนเมือง ที่ยังต้องอยู่ใกล้แหล่งงาน โรงเรียน การเดินทางที่สะดวก เหล่านี้คือดีมานด์ที่ยังคงมีอยู่ สะท้อนจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ บอกว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคนในเมืองอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท/เดือน หรือคิดเป็น 15.6% ของรายจ่ายทั้งหมด
เรามีการทำตัวเลขเปรียบเทียบกันภายใน เพื่อดูว่าคอนโดสามารถช่วยแบ่งเบาภาระในเรื่องค่าเดินทางให้กับลูกค้าได้มากน้อยเพียงใด เช่น “ถ้าลูกค้ามีงบประมาณ 3-4 ล้านบาท แล้วเลือกอยู่คอนโดอย่าง LIFE Rama 4–Asoke ค่าเดินทางต่อวันอาจอยู่ที่ 20–30 บาท แต่ถ้าอยู่บ้านนอกเมือง อาจต้องเสียค่าน้ำมันและทางด่วนถึง 200–300 บาทต่อวัน”
“เมื่อดูทั้งแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ และความสามารถในการแบ่งเบาภาระในเรื่องค่าใช้จ่ายของการเดินทาง จะเห็นได้ชัดว่าโอกาสของตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองยังคงมีอยู่”

AP เดินหน้าส่งมอบชีวิตดี ๆ ที่เลือกเองได้
เมื่อถามว่า เป้าหมายใหญ่ของAPตอนนี้คืออะไร?…คุณกมลทิพย์กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า
“เรายังคงดำเนินงานภายใต้เป้าหมายใหญ่ของเอพี ในการส่งมอบชีวิตดี ๆ ที่เลือกเองได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ภายใต้จุดยืนที่ “เริ่มชีวิตที่อยากใช้ AP คอนโด”
แบรนด์คอนโดในเครือAPทั้ง 5 แบรนด์อย่าง THE ADDRESS, RHYTHM, LIFE, ASPIRE และ GOOD DAY ต่างถูกพัฒนาให้ตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชัน สุนทรียศาสตร์ ทำเล และเทคโนโลยี
“เราตั้งใจให้เป็นทุกคำตอบที่คนรุ่นใหม่มองหา ตั้งแต่ Aesthetic Design, Smart Layout, Facilities ที่เหนือกว่า, Innovation for Life ไปจนถึง Location ที่อยู่ใน Location จริง ๆ”
ปัจจุบันAPมีคอนโดที่อยู่ระหว่างการขายทั้งสิ้น 18 โครงการ มูลค่ารวม 14,829 ล้านบาท โดยมี 8 โครงการ Ready to Move In
“ในไตรมาส 2 นี้ เราเตรียมโอนกรรมสิทธิ์อีก 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 8,100 ล้านบาท ได้แก่ ASPIRE อ่อนนุช สเตชั่น, ASPIRE สุขุมวิท–พระราม 4 และ ASPIRE อรุณ พรีเว่ ทุกโครงการพร้อมเข้าอยู่ พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยหลังวิกฤติ และพร้อมสร้างภาพใหม่ให้กับคำว่า “คอนโดในเมือง”
ถามว่าจุดแข็งที่ทำให้คนยังมั่นใจและเลือกAP คุณกมลทิพย์ตอบสั้น ๆ แต่หนักแน่นว่า
“เราทำเต็มที่ค่ะ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่า เราส่งมอบคอนโดมิเนียมที่มีคุณภาพ และที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นวันที่ทุกอย่างปกติ หรือในวันที่มีวิกฤต เราไม่ทิ้งลูกค้า เราลงมือทำจริงเพื่อส่งมอบชีวิตดี ๆ ที่เลือกเองได้ ให้กับลูกค้าของเรา”
เธอเน้นย้ำว่า ลูกค้ายุคนี้ไม่ได้มองแค่ตัวอาคารเท่านั้น แต่ดูไปถึง Developer ว่าใครจะอยู่เคียงข้างเขาได้ในยามวิกฤต
“เราจะไม่หยุดพัฒนาที่เหนือกว่ามาตรฐาน ไม่ใช่แค่เพื่อให้โครงการสมบูรณ์ แต่เพื่อให้ทุกคนที่เลือกคอนโดเอพี ได้เริ่มต้นชีวิตดี ๆ ในแบบที่ตัวเองเลือกจริง ๆ ได้อย่างมั่นใจ” คุณกมลทิพย์กล่าวทิ้งท้าย
เพราะในวันที่บ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นพื้นที่แห่งความมั่นใจ ความรู้สึกปลอดภัย และความไว้วางใจ
AP ยังคงเดินหน้าพิสูจน์สิ่งนั้น อย่างเงียบ ๆ แต่จริงใจ
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
