Fender ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์กีตาร์ เบส และแอมป์ในดวงใจนักดนตรีจำนวนมากทั่วโลก ที่ต่างนิยมชมชอบในเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ทัชชิ่ง ดีไซน์ และอื่นๆ ที่ช่วยพรีเซนต์ตัวตนของศิลปิน ผลงาน ความพึงพอใจผ่านงานเพลงมาอย่างนานกว่า 79 ปี

แม้จะเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกทางด้านเครื่องดนตรี แต่ต้นกำเนิดของ Fender ไม่ได้เกิดจากนักดนตรี เพราะ “Leo Fender” ผู้ก่อตั้ง เป็นเพียงชายผู้เปิดร้านซ่อมวิทยุเล็กๆ ใน California ที่รับซ่อมแอมป์ให้กับนักดนตรีในละแวกนั้น และพบว่านักดนตรีมีความต้องการแอมป์ที่ให้เสียงชัดเจน ทนทาน มากกว่าแอมป์ที่เสียงดังเพียงอย่างเดียว

การรับซ่อมแอมป์ของเขาเป็นประตูบานใหญ่ที่พาให้ Leo Fender ก้าวเท้าเข้าสู่ธุรกิจเครื่องดนตรี เมื่อได้จับมือกับนักดนตรีและนักประดิษฐ์ท้องถิ่นชื่อ Doc Kaufmann จัดตั้งบริษัท K&F Manufacturing Corp ขึ้นมาในปี 1943 ผลิตแอมป์และกีตาร์ Lap Steel (กีตาร์ที่ถูกออกแบบมาให้เล่นในแนวนอนบนตักของผู้เล่น) จากการมองเห็นโอกาสของกีตาร์ในรูปแบบนี้เป็นกระแสได้รับความนิยมในฮาวาย แต่ด้วยการผลิตด้วยมือทั้งหมด ทำให้สินค้าที่ผลิตมามีจำนวนที่ไม่มากนัก

ไม่กี่ปีต่อมา Leo Fender ได้แยกทางกับ Doc Kaufmann และก่อตั้งแบรนด์ของตัวเองในปี 1946 พร้อมเปิดตัวแอมป์เป็นสินค้าตัวแรกประทับตรา Fender อย่างเป็นทางการ

จนปี 1951 เส้นทางของ Fender ได้เข้าสู่ยุคของกีตาร์ ด้วยการผลิตกีตาร์ไฟฟ้ารุ่น Telecaster (เดิมชื่อ Broadcaster) ในรูปแบบ Solid-Body ใช้ไม้ชิ้นเดียวในการทำบอดี้ มีความโดดเด่นเสียงใส ชัดเจน คม ให้ย่านเสียงสูงที่โดดเด่น เสียงเบสหนักแน่น และเป็นกีตาร์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Fender เป็นอย่างมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ Fender ในกีตาร์รุ่นใหม่ๆ รวมถึงการเปิดตัวเบสไฟฟ้า Precision Bass ที่ปฏิวัติวงการเบสในเวลาไล่เลี่ยกัน รวมถึงการพัฒนาแอมป์รุ่นต่างๆ ลงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง

กระทั่งสิบกว่าปีต่อมาได้ถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของ Fender เมื่อ Leo Fender ตัดสินใจขายธุรกิจทั้งหมดให้กับ CBS (Columbia Broadcasting System) บริษัทสถานีโทรทัศน์รายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาในปี 1965

ยุคของแบรนด์ Fender ภายใต้ CBS ถือเป็นยุคที่เปลี่ยนถ่ายสู่โอกาสและความท้าทายครั้งสำคัญ
เนื่องจาก CBS ต้องการสร้างรายได้จากการจำหน่ายสินค้า Fender เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการปรับปรุงการผลิตสู่ยุคอุตสาหกรรม และขยายไลน์การผลิตไปยังประเทศอื่นๆ เช่น โรงงานในประเทศญี่ปุ่น
แต่การเข้าสู่ยุคผลิตเพื่ออุตสาหกรรม หลายคนมองว่ากีตาร์ Fender ในยุค CBS มีคุณภาพที่ลดลงจากการผลิตที่เพิ่มขึ้น

กระทั่งปี 1980 Fender ถูกเปลี่ยนมืออีกครั้ง เมื่อกลุ่มพนักงาน Fender ได้ร่วมกันซื้อกิจการ CBS หลังมีนโยบายขายธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกระจายเสียงออกไป เพื่อมาฟื้นฟูตำนาน Fender ในชื่อบริษัท Fender Musical Instruments Corporation ให้กลับมาแข็งแกร่งในใจนักดนตรีทั่วโลกอีกครั้ง

การเปลี่ยนมือสู่ Fender Musical Instruments Corporation มาพร้อมกับการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจผ่านแนวทางที่หลากหลาย เช่น

  • การให้บริการ Custom Shop กับลูกค้าที่สั่งทำกีตาร์พิเศษเฉพาะเจาะจงในแบบฉบับของตัวเอง

  • การเปิดโรงงานที่เม็กซิโกเพื่อทำราคาในบางรุ่นให้ถูกลง

  • รวมถึงการเปิดซับแบรนด์ Squier เพื่อมาแข่งขันในตลาดกีตาร์กลุ่มแมสที่มีคู่แข่งจำนวนมาก เพื่ออุดช่องว่างของตลาดที่แบรนด์ Fender ซึ่งวางตัวเองเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียมและพรีเมียมแมสลงแข่งขันไม่ได้

พร้อมกับการมุ่งเน้นความหลากหลายในไลน์อัปสินค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักดนตรีที่มีสไตล์และความชอบที่แตกต่างกัน และทำตลาดผ่านจุดเด่นที่เน้นคุณภาพสินค้า ความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์


รวมถึงการมีส่วนร่วมกับชุมชนนักดนตรี และการเป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีประจำกายนักดนตรีระดับโลก ที่กลายเป็นพลังในการสร้างแบรนด์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถต่อยอดการตลาดด้วยการ Collab กับนักดนตรีต่างๆ ผลิตกีตาร์รุ่นศิลปินออกวางจำหน่ายเพื่อเป็นกิมมิกการตลาด ขยายฐานลูกค้าไปยังแฟนคลับ เพื่อซื้อใช้งานและเก็บสะสม

อย่างเช่นในประเทศไทย Fender ได้ Collab กับ โอ้ โอฬาร พรหมใจ ที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดีในยุค 80 จากวงดิโอฬารโปรเจค เป็นศิลปินคนแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนที่จะขยายความร่วมมือไปยังศิลปินอื่นๆ เช่น Ruzzy Tattoo Colour

นอกเหนือจากการ Collab กับศิลปิน Fender ยังนำกลยุทธ์การตลาด Collab กับ Pop Culture ชื่อดังต่างๆ เพื่อสร้างสีสันและขยายฐานลูกค้าไปยังแฟนคลับของ Pop Culture นั้นๆ เช่น

  • Squier X Hello Kitty

  • Fender X Game of Thrones

  • Fender X ASUKA

  • Fender X Final Fantasy

  • Fender X Monster Hunter เป็นต้น

แม้ Fender จะมีจุดแข็งที่ชัดเจน แต่ในตลาดเครื่องดนตรี โดยเฉพาะกีตาร์ เครื่องดนตรีที่มี Market Size ขนาดใหญ่ในโลก ย่อมมีคู่แข่งจำนวนมาก โดยเฉพาะคู่แข่งในตลาดกีตาร์อย่างยาวนานอย่าง Gibson รวมถึงคู่แข่งแบรนด์อื่นๆ เช่น PRS (Paul Reed Smith) ที่มีไลน์อัปสินค้าหลากระดับราคาใกล้เคียงกับ Fender เพื่อช่วงชิงยอดจำหน่ายในตลาดกีตาร์โลกที่เติบโตสูงขึ้นทุกปี

ข้อมูลจาก Horizon Grand View Research พบว่า ในแต่ละปีตลาดกีตาร์โลกมีมูลค่าดังนี้
ปี 2020 มูลค่า 9,200.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 300,380 ล้านบาท)
ปี 2021 มูลค่า 9,722.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 317,440 ล้านบาท)
ปี 2022 มูลค่า 10,303.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 336,410 ล้านบาท)
ปี 2023 มูลค่า 10,950.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 357,550 ล้านบาท)
ปี 2024 มูลค่า 11,674.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 381,180 ล้านบาท)
คาดการณ์ปี 2030 มูลค่า 18,439.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 602,040 ล้านบาท)

ต่อจากนี้ Fender ยังคงเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมและความชื่นชอบของนักดนตรีรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่การบริโภคและผลิตเพลงมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว Fender จึงหันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มเติม เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชัน Fender Play ที่ช่วยสอนกีตาร์ออนไลน์ การสร้างแพลตฟอร์ม Fender Connect เพื่อเชื่อมโยงชุมชนนักดนตรีทั่วโลก หรือแม้กระทั่งการต่อยอดสินค้ากลุ่มดิจิทัลและไฮบริดที่ผสานระหว่างเสียงคลาสสิกกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกด้วย

อ้างอิง
1 2 3 4 5 6

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer