สงครามส่งด่วน Behind the Mad Unicorn เมื่อเบื้องหน้า เบื้องหลัง บ้าคลั่งพอกัน
บทเรื่องนี้เริ่มเขียนจากคำว่า “ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้” เต็มไปหมดเลย
ต้องใช้เวลาเยอะมากในการทำความเข้าใจว่าคนต้นเรื่องคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงกล้าตัดสินใจแบบนั้น
นี่ไม่ใช่แค่หนังเรื่องเดียว แต่มันคือซีรีส์ 7 ตอน หรือประมาณหนัง 3 เรื่องที่ต้องทำพร้อมกัน ทั้งที่ผมเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ธุรกิจเลยด้วยซ้ำ
มันมีหลายสเต็ปมากเลยครับ ที่ทำให้ต้องถามตัวเองว่า “จะทำได้เหรอวะ” “จะเป็นไปได้ได้ยังไง” เพราะสเกลใหญ่กว่าที่ผมเคยทำมาแบบมาก ๆ
แล้วยังเป็นโปรดักชันใหญ่ที่สุดที่ GDH เคยทำ และเป็นโปรดักชันที่ใหญ่มากเรื่องหนึ่งของ Netflix

ถ้าเบื้องหน้าเรื่องของ ‘สันติ’ พระเอกของเรื่องนี้ คือแรงบันดาลใจที่ Inspired by true story ในโลกธุรกิจ
True story ของ ไก่-ณฐพล ผู้กำกับ-ผู้เขียนบท “สงครามส่งด่วน” ก็อาจกลายเป็นแรงบันดาลให้คนทำงานสร้างสรรค์ทุกคน
แค่มี “ความกล้า” ก็จะลุกขึ้นเล่าเรื่องที่ใหญ่เกินประสบการณ์ของตัวเองได้
Marketeer นัดณฐพลที่ออฟฟิศ Netflix ประเทศไทย วันที่จังหวะชีวิตในวัย 38 ปีของเขาพีกสุด ๆ
โชคดี วันนี้เป็นที่เขาว่างจากการออกกองทำซีรีส์เรื่องใหม่
4 ปีเต็ม ๆจากการทุ่มเทพลังชีวิตให้กับงานชิ้นนี้

Mad Team: Behind the Mad Unicorn
เมื่อถามว่าความยาก ความท้าทายในการเรื่องนี้อยู่ตรงไหนบ้าง
“ยากทุกตรง ท้าทายทุกซีนครับ” เขาตอบพร้อมหัวเราะเสียงดัง และย้ำว่า
“มันมีหลายสเต็ปมากเลยครับ ที่ทำให้ต้องถามตัวเองว่า “จะทำได้เหรอ ” หรือ “ จะเป็นไปได้ได้ยังไง ” เพราะสะเกลใหญ่กว่าที่ผมเคยทำมาแบบมาก ๆ แล้วยังเป็นโปรดักชั่นที่ใหญ่สุดที่ GDH เคยทำ และเป็นโปรดักชันที่ใหญ่มากเรื่องหนึ่งของ Netflix “
แต่ความท้าทายที่สุดของที่สุดเขายกให้กับเรื่องของการเขียนบท
จุดเริ่มต้นของ สงครามส่งด่วน เกิดขึ้นเพราะ 2 โปรดิวเซอร์ของ GDH เก้ง-จิระ มะลิกุล และ วัน-วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์ ได้ฟังเทปสัมภาษณ์ของคนต้นเรื่องแล้วอินมาก ก็เลยส่งผมไปสัมภาษณ์
วันนั้นก็เตรียมตัวไปประมาณหนึ่งนะครับ เพราะว่าดูคลิปสัมภาษณ์คนต้นเรื่องแล้วก็แบบสนุกดี รู้สึกว่า “โฮ้ เป็นโลกที่เราไม่รู้จักเลยว่ะ” จากเด็กดอยมาทำธุรกิจขนส่ง มาได้ยูนิคอร์น คือ background story เขาน่าสนใจอยู่แล้ว
“พอได้เจอตัวจริง ก็อึ้งไปเลยครับ เราคุยกันนาน 4 ชั่วโมง คือเขาเล่าเหมือนเพื่อนกินเหล้าแถวบ้านเราเลย เป็นแบบวัยรุ่นห่าม ๆ เล่าทุกอย่างให้ฟังแบบจริงใจมาก ๆ แต่เขาเป็นซีอีโอหมื่นล้านด้วยนะ คือผมทึ่งตรงนี้มาก”
เรื่องราวของคนต้นเรื่องที่ประทับใจ บ้าคลั่งสุด ๆ คือแรงบันดาลใจสำคัญที่ส่งพลังมาให้ณฐพลและทีมงาน “ฮึกเหิม” ต้องทำให้โปรเจกต์นี้เกิดขึ้นให้ได้
ชีวิตของเด็กดอยที่กระจัดกระจายเหมือนจิ๊กซอว์ ถูกนำมาวางเป็นโครงเรื่องคร่าว ๆ จากนั้นค่อย ๆ เปลี่ยนบริบท เปลี่ยนดีเทลในแต่ละซีน แล้วใส่สีสันเข้าไป เพื่อให้เป็นเรื่องเล่าแบบซีรีส์ที่สนุกมากขึ้น
สิ่งที่ยากที่สุดกลับไม่ใช่การเล่าเรื่องจริง แต่คือการเข้าใจคนที่ไม่เหมือนเราเลย เพราะตัวละคร ‘สันติ’ ที่เป็นเด็กยากจนบนดอย ชีวิตเริ่มจากศูนย์แต่ทะยานขึ้นมาเป็นซีอีโอยูนิคอร์นหมื่นล้าน มันมีความคิดความรู้สึก มีทัศนคติต่อการมองโลกและการทำธุรกิจไกลจากโลกของคนเขียนบทอย่างมาก
“ผมอาจจะขายโปสเตอร์เล็ก ๆ ออนไลน์ของผม แต่ก็ส่งไปรษณีย์เป็นปกติ ไม่เคยใช้บริการเจ้าอื่น ๆ เลย จนกระทั่งเริ่มทำโปรเจกต์นี้ ก็เริ่มต้องเข้าไปรู้จักว่าโลจิสติกส์คืออะไร ขนส่งคืออะไร ตลาดคืออะไร ทุกอย่างผมไม่เคยมีความรู้ และเป็นเรื่องใหม่สำหรับผมมากครับ”
ถ้าให้ผมเขียนเรื่องรักในวัยเรียน จะมีองค์ประกอบเยอะมากในหัว เพราะผมเคยผ่านประสบการณ์นั้นมา แต่ผมไม่เข้าใจวงการขนส่ง ผมไม่เคยเป็น CEO บริษัทขนส่งระดับหมื่นล้าน แสนล้าน
บทเรื่องนี้เลยเริ่มเขียนจากคำว่า “ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้” เต็มไปหมดเลย ต้องใช้เวลาเยอะมากในการทำความเข้าใจว่าคนต้นเรื่องคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงกล้าตัดสินใจแบบนั้น
หลังจากการสัมภาษณ์วันแรก ใช้เวลาในการทำบทประมาณเกือบ ๆ สองปี จะมีช่วงเวลาที่หยุดรอ feedback ประมาณหนึ่ง แต่ว่ารวมทั้งหมดประมาณ 2 ปีก่อนที่จะเริ่ม pre-production แล้วก็ production ต่อมา
6 เดือนแรกแทบฉีกทิ้ง เพราะเขียนบทแทบไม่ได้ เพราะเข้าใจเขาไม่จริง
และนั่นทำให้เขาและทีมงานเขียนบทอีกประมาณ 5 คน ต้องทำการบ้านกันอย่างหนัก เป็น The Mad Team Behind the Mad Unicorn ตัวจริง
“สุดท้ายผมก็ต้องค่อย ๆ เก็บข้อมูลเหมือนต่อจิ๊กซอว์ คุยกับคนที่รู้จัก คุยกับต้นเรื่องบ้าง หาข้อมูลจากเว็บต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดให้เราหรอกครับ เราต้องสกัดข้อมูลเอง แล้วค่อย ๆ เอามาปะติดปะต่อ กลั่นเป็นเรื่องของเราเอง”
ถ้าบทผิดพลาด แม้แค่เล็กน้อย ก็อาจทำให้ทั้งเรื่องพังลงได้
พอเป็นเรื่องธุรกิจ ทุกความผิดพลาดจะถูกจับได้หมด ในแง่ขององค์ความรู้ที่คนจำนวนมากรู้มากกว่าผม ผมก็จำเป็นที่จะต้องหาข้อมูลให้มาก และมากพอที่จะพูดออกไปได้อย่างมั่นใจ โดยที่คนดูแล้วจะไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงว่า “นี่มันแต่งเกินจริง” หรือ “โม้แบบไม่มีข้อมูลรองรับ โอ้ย โม้แล้ว ไม่ได้รีเสิร์ชเลยนี่หว่า”
เอาจริง ๆ นะครับ” แค่ฉากที่รุ่ยเจี๋ยด่าทีมเทคด้วยประโยคเดียว ผมยังต้องไปถามทีมเทค ถามดีเวลลอปเปอร์จริง ๆ ว่าตอนนั้นสถานะของบริษัทคืออะไร ทีมเทคกำลังทำงานอะไรอยู่ พูดแบบนี้มันสมเหตุสมผลไหมในบริบทของธุรกิจ
“เรื่องนี้มันเหมือนภูเขาน้ำแข็ง มีหลายชั้นมาก ประโยคง่าย ๆ อย่าง การขายหุ้น ก็ซ่อนรายละเอียดเต็มไปหมด หลายเรื่องผมไม่มีความรู้เลย แต่เวลาต้องบรีฟนักแสดง ผมต้องอธิบายให้ได้ว่า ทำไมตัวละครถึงพูดแบบนี้ เบื้องหลังมันคืออะไร”
จากคนเขียนบทที่มีความรู้ทางธุรกิจเป็นศูนย์ วันนี้ ซีรีส์สงครามส่งด่วน เป็นเจ้าของคำคมและแนวคิดทางธุรกิจที่ถูกแชร์กระหน่ำบนโลกโซเชียลตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
จากผู้กำกับสารคดี สู่ Fiction
ณฐพล ผู้กำกับสารคดีผู้เคยยึดมั่นใน ‘ความจริงแบบไม่แต่งเติม’ วันนี้พลิกกลับมาเป็นคนเติม ‘ดราม่า’ ให้กับเรื่องจริงเสียเอง
หลังเรียนจบนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณฐพลเริ่มต้นทำงานในสายภาพยนตร์กับ GDH โดยร่วมเขียนบทภาพยนตร์ เช่น “ซัก ซี้ด ห่วยขั้นเทพ” และ “เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ” รวมถึงกำกับมิวสิกวิดีโอ ควบคู่ไปกับการทำงานด้าน NGO
ต่อมาเขาตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อด้านสารคดี (Documentary) ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าใจการเล่าเรื่องแบบเจาะลึกมากขึ้น
ผลงานสำคัญช่วงนั้นคือสารคดีธรรมกาย เอหิปัสสิโก (2562) ซึ่งเป็นโปรเจกต์วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท
ชื่อของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากการทำภาพยนตร์สารคดี 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว ของพี่ตูน บอดี้สแลม
การทำสารคดี งานที่มันเรียลิสติกมาก ๆ เรารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราเล่า เพราะเราใช้ชื่อเขา ใช้หน้าเขา เหตุการณ์ก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด เราเป็นคนอยู่หลังกล้อง ต้องหาวิธีเล่าเรื่องจริงให้ดีที่สุด
แต่พอมาเขียนบทหนังอย่าง สงครามส่งด่วน ซึ่งเป็นฟิกชั่นที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง มันกลายเป็นอีกโลกหนึ่งเลย เหมือนเราไปฟังเรื่องสนุกมาชุดหนึ่ง แล้วต้องคิดว่าจะเล่ามันใหม่ยังไงในรูปแบบภาพยนตร์ มันเป็นความท้าทายคนละแบบ
ที่ผ่านมา ผมถนัดงานที่มีโจทย์ชัด อย่างมิวสิกวิดีโอ หรือหนังโฆษณา ลูกค้ามีไอเดียให้เราไปต่อยอด ส่วนสารคดีก็มีโครงของความจริงอยู่แล้ว เราแค่หาวิธีเล่ามันให้น่าสนใจ
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ยังมีชิ้นส่วนจากเรื่องจริงให้ผมหยิบมาปรุง มาจัด มาปรับ มันเลยทำให้รู้สึกถนัดมือมากขึ้น
ส่วนเรื่องจริงเรื่องแต่งกี่เปอร์เซ็นต์ ไม่เคยนับเหมือนกันครับ แต่ความรู้สึกที่ว่ามันเป็นเรื่องจริง เพราะว่า element ใหญ่ในเรื่องเล่ามันมาจากเรื่องจริง เช่น “การเป็นเด็กดอย” คือคำนั้นใหญ่มาก
“เด็กดอย โดนหักหลัง มาเปิดธุรกิจขนส่ง จนกลายเป็นยูนิคอร์น คือแค่คำ 4-5 คำนี้ ก็แทบจะกินทั้งเรื่องแล้ว แต่ถ้าไปไล่กันจริง ๆ อ่ะ โห โม้สะบัดเลยครับ”

128 โลเคชัน ทำไมต้องขนาดนี้
เพราะเรื่องนี้มันคือซีรีส์ “ขนส่ง” ซึ่งเล่าการเดินทางของสันติจากดอยลงมาสู่โลกธุรกิจ มันเป็นเส้นทางที่ยาวและเต็มไปด้วยจุดเปลี่ยน
แต่ละเซ็ตไม่ใช่แค่หาโลเคชันเฉย ๆ หลายที่ต้องสร้างใหม่หมด เช่น เหมืองทรายที่เราต้องปลูกบ้านเถ้าแก่ขึ้นมาทั้งหลัง, เพนต์เฮาส์เสี่ยจางในเซี่ยงไฮ้ หรือโกดังของ Thunder Express ที่ต้องเริ่มตั้งแต่ศูนย์ แล้วค่อย ๆ เติมของเข้าไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นศูนย์กระจายพัสดุขนาดใหญ่ที่มีสายพานและระบบลำเลียงครบ
รวมทั้งบ้านเสี่ยวหยูตอนจบที่เซี่ยงไฮ้ “เดอะบันด์” แลนด์มาร์กของเซี่ยงไฮ้ ก็เป็นโลเคชันที่ขออนุญาตถ่ายยากมากอีกด้วย
“มีคนพูดว่า ทำซีรีส์ Netflix งบเยอะ อยากทำอะไรก็ทำได้ แต่ความจริงแล้วเป็นงานที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่เยอะยิ่งกว่าครับ”
บางครั้งเวลา สำคัญกว่าเงิน
เมื่อพูดถึงเรื่องงบประมาณ ซีรีส์ฟอร์มใหญ่แบบนี้ต้องมีเงินหน้าตักจาก Netflix เท่าไหร่?
เขาบอกว่า ไม่ทราบเรื่องเม็ดเงินจริง แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการทำงานกับ Netflix เขาได้ “เวลา” ที่สำคัญกว่าเงิน
“หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้งานออกมาดี สำหรับผม คือระบบการทำงานของ Netflix ที่มีมาตรฐานชัดเจนและเอื้อต่อการทำงานสร้างสรรค์”
อย่างเช่น การจำกัดเวลาทำงานไม่เกิน 12 ชั่วโมงต่อวัน และต้องมีช่วง “เทิร์นอะราวด์” อย่างน้อย 10 ชั่วโมงก่อนเรียกกองถัดไป สมมุติวันนี้เลิกกองตี 2 วันรุ่งขึ้นจะเรียกกองเช้า 6 โมงไม่ได้เด็ดขาด
ระบบแบบนี้ทำให้เรามีเวลาทบทวน มีสมาธิกับงานมากขึ้น ทีมอาร์ตมีเวลาตั้งฉากให้ละเอียด ทีมแคสติ้งหานักแสดงได้ในช่วงโปรดักชัน ทีมกล้องก็มีเวลาคราฟต์ช็อตให้เฉียบ ทุกคนมีเวลาคิดและแชร์ไอเดียกันได้จริง ๆ
มันต่างจากสมัยก่อนที่ต้องถ่ายกันวันละ 18–20 ชั่วโมง แล้วเช้ามืดก็ต้องลุยต่อเพื่อให้งานจบตามเวลา ซึ่งสุดท้ายไม่มีพื้นที่ให้คุณภาพเลย
“เพราะฉะนั้น “เวลา” จึงเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดสำหรับการสร้างงานดี ๆ ครับ

คำชมมากมาย มาตรฐานใหม่ของวงการ
สงครามส่งด่วน ขึ้นอันดับ 1 ในประเทศไทยได้สำเร็จหลังสตรีมเพียง 1 วัน และยึดอันดับ 1 ซีรีส์ที่มีผู้ชมสูงสุดในประเทศไทยต่อเนื่องถึง 3 สัปดาห์
ด้านอันดับโลกยังครองอันดับ 4 บนชาร์ต Top 10 หมวดซีรีส์ภาษาต่างประเทศ (Non-English) ที่มีผู้ชมสูงสุดทั่วโลกบน Netflix ถึงสองสัปดาห์
“ผมไม่ค่อยกล้ารับคำชมอะไรขนาดนี้ ตอนเราทำซีรีส์ เราไม่ได้คิดขนาดนั้นนะ อย่างที่มีคนบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ แต่ผมไม่เคยคิดสิ่งนี้เลยครับ
พอมันมีคำชมแบบนี้ ก็เหวอ ๆ เหมือนกันครับ หลอน ๆ เหมือนกันว่า เฮ้ย เราไปสร้างมาตรฐานอะไรกับเขาด้วยเหรอวะ เราก็แค่ทำในสิ่งที่เราแบบว่าต้องทำให้มันรอดอะครับ ผมไม่อาจรับคำชมนี้ได้
ก็ขอบคุณละกันครับ รู้สึกว่าแบบว่า เออ ก็ดีใจแหละครับ ดีใจแทนทีมแล้วกัน ที่ทุกคนช่วยกันสร้างมาตรฐานของงานออกมา แล้วคนดูตอบสนองเกินกว่าที่คิดไว้ครับ ”
สุดท้าย จุดเริ่มต้นของการทำงานของผม มันก็คือเราสนใจเรื่องนี้ เราสนุกกับเรื่องนี้ เราอยากรู้เรื่องนี้ มันก็แค่นั้นแหละครับ ซึ่งผมว่ามันมากพอแล้วที่จะทำให้เรา ดึงเราให้ลุกขึ้นไปทำงานทุกวัน การทำงานควรจะมีความรู้สึกนี้อยู่
บางที… แค่คุณกล้าเล่าเรื่องที่ใหญ่กว่าตัวเอง ก็อาจกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตได้แล้ว ♦
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
