เมื่อเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว คำว่า “Lipstick Effect” มักจะโดนพูดถึงในต่างประเทศ ทฤษฎีดังที่เกิดจากการสังเกตของ Leonard Lauder ผู้บริหาร Estée Lauder รุ่นที่สอง

หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 เขาเล่าไว้ว่า แม้รายได้จะลดลง แต่คนเรายังคงหาของเล็กๆ น้อยๆ มาปลอบใจตัวเอง และในกรณีนี้คือ “ลิปสติก” นั่นเอง

จากนั้น “ดัชนีลิปสติก” หรือ Lipstick Effect จึงเกิดขึ้น และกลายเป็นสัญลักษณ์ของอุตสาหกรรมความงามที่ดูเหมือนจะทนทานต่อพายุเศรษฐกิจได้ดีกว่าใครๆ

หลังยุคโควิดผ่านไป แนวคิดนี้ก็ยังใช้ได้ดี อุตสาหกรรมความงาม โดยเฉพาะสกินแคร์ เติบโตกระฉูดทั้งยอดขายและการลงทุน

แต่พอเข้าสู่ปี 2025 บางอย่างเริ่มไม่ค่อยเหมือนเดิม

.

ผลงานของแบรนด์ความงามยักษ์ใหญ่เริ่มส่งสัญญาณเตือน

บริษัทความงามระดับโลกอย่าง Coty รายงานยอดขายไตรมาสแรกลดลง 6% YoY (เทียบกับปีก่อน) พร้อมประกาศลดเป้ากำไรทั้งปี และวางแผนเลิกจ้างพนักงานถึง 5%

LVMH เจ้าของ Sephora ก็ไม่สามารถสร้างการเติบโตในธุรกิจค้าปลีกได้

L’Oréal ที่เคยเติบโตกระฉูดหลายปีติดต่อกัน ตอนนี้โตเหลือเพียง 3.5% YoY ในไตรมาสแรก

ส่วนยอดขายของ Estée Lauder และ Shiseido ก็ยังคงร่วงลงต่อเนื่อง

ผู้บริหารชี้ให้เห็นสาเหตุหลัก ไม่ว่าจะเป็นการที่ร้านค้าลดสต็อก เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และความกังวลเรื่องภาษีศุลกากร

แต่เบื้องหลังแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญอีกตัวหนึ่งที่น่าจับตา นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค

.

Oliver Chen นักวิเคราะห์จาก TD Cowen อธิบายว่า ผู้บริโภคตอนนี้ไม่ได้หยุดซื้อ แต่ซื้ออย่างระมัดระวังและเลือกสรรมากขึ้น

และนั่นคือความเปลี่ยนแปลงที่ต่างจาก Lipstick Effect แบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง

เพราะในยุคนั้น ความงามราคาย่อมเยาคือของปลอบใจที่เข้าถึงได้ง่าย แต่วันนี้ สินค้าความงามราคาแพงขึ้น และไม่ได้ถูกซื้อด้วยอารมณ์ชั่ววูบอีกต่อไป

ผู้บริโภคต้องเผชิญกับเศรษฐกิจเติบโตช้า เงินเฟ้อยืดเยื้อ และค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ จึงไม่เหลือพื้นที่ในงบประมาณสำหรับความงามมากพอ

“ความงามไม่ใช่ของจำเป็น” Chen กล่าว “มันไม่เหมือนอาหาร… คุณไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางเลย”

นั่นทำให้แบรนด์ความงามหลายรายเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่เปลี่ยนไป

ผู้บริโภคยังไม่ถึงขั้นเลิกซื้อโดยสิ้นเชิง แต่พวกเขาให้ความสำคัญกับความคุ้มค่ามากขึ้น ดีล โปรโมชั่น และส่วนลด กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ

.

การแข่งขันจากแพลตฟอร์มใหม่อย่าง TikTok Shop และ E-Commerce ยิ่งทำให้ร้านค้าที่ขายราคาเต็มในห้างต้องเจอความท้าทายใหญ่

กระแส “underconsumption core” บน TikTok ที่ผู้ใช้แชร์รูทีนความงามแบบมินิมอล เน้นใช้แค่ของที่จำเป็นจริงๆ ก็เป็นอีกสัญญาณว่าตลาดไม่ได้เปิดกว้างรับ “ความเยอะ” อีกแล้ว

โดยเฉพาะ Gen Z ที่เติบโตท่ามกลางโฆษณาและตัวเลือกมากมาย จนเริ่มเฉยๆ กับสิ่งใหม่ๆ รู้สึกอึดอัดมากกว่าตื่นเต้น

ทั้งหมดนี้บอกเราว่า Lipstick Effect ไม่ได้หมดมนต์ขลังไปโดยสิ้นเชิง แต่มันไม่ทำงานแบบเดิมอีกแล้ว

สินค้าขนาดเล็กไม่ใช่ของปลอบใจที่ขายได้แน่นอนอีกต่อไป ในยุคที่ผู้บริโภคตัดสินใจอย่างรอบคอบและมีเหตุผลมากขึ้น

ความงามยังคงอยู่ แต่ต้องตอบโจทย์ “ความคุ้มค่า” ของผู้บริโภคให้ได้ จึงจะอยู่รอดในใจผู้บริโภคยุคใหม่

 

ที่มา: BoF


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer