รสชาติจัดจ้าน น้ำซุปเข้มข้น หอมเครื่องเทศ รสชาติครบรส สามารถทานได้โดยไม่ต้องปรุง คือหนึ่งเหตุผลที่เป็นซิกเนเจอร์ของก๋วยเตี๋ยวเรือที่ใครหลายคนชื่นชอบ จนกลายเป็นหนึ่งในเมนูอาหารที่เลือกกินบ่อยครั้ง
อีกทั้งจุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวเรือกลุ่มแมสยังมาพร้อมกับขนาดชามที่เล็ก ตั้งราคาจำหน่ายในราคาย่อมเยา ซึ่งส่วนใหญ่เริ่มต้นเพียงชามละ 20 บาท ดึงดูดลูกค้าให้สั่งได้หลายๆ ชาม ในหลากเมนูที่ต้องการ และมีชามใหญ่เข้ามาตอบโจทย์ลูกค้าที่ชอบทานเพียงเมนูเดียว ซึ่งการสั่งชามเล็กหลายๆ ชาม สำหรับใครหลายๆ คน ยังเป็นหนึ่งในการสร้างรายได้ที่สูงของร้าน จากการสั่งหลายชามเพื่อให้อิ่ม
ซึ่งถ้ามองไปที่ประเภทของก๋วยเตี๋ยว เมนูก๋วยเตี๋ยวเรือยังมีความแตกต่างจากก๋วยเตี๋ยวน้ำตก เนื่องจากก๋วยเตี๋ยวเรือจะเป็นเมนูก๋วยเตี๋ยวที่นำเลือดไปต้มกับน้ำซุปในหม้อ ปรุงรสด้วยพริกป่น ส้มสายชู ตามสูตรของร้านไว้ก้นชามก่อนใส่เส้นและน้ำซุปพร้อมเสิร์ฟ ส่วนก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ส่วนใหญ่ร้านจะไม่ปรุงรสให้เหมือนก๋วยเตี๋ยวเรือ และใส่เลือดลวกน้ำซุปแบบชามต่อชาม
เพราะด้วยการปรุงที่แตกต่างจากก๋วยเตี๋ยวน้ำตก อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ก๋วยเตี๋ยวเรือเป็นเมนูที่หากินยากในหลายพื้นที่ และบางพื้นที่มีรสชาติที่อาจจะไม่ถูกปากมากนัก ทำให้ตลาดก๋วยเตี๋ยวเรือถือเป็นตลาดที่มีผู้เล่นจำนวนน้อยกว่าก๋วยเตี๋ยวยอดนิยมอื่นๆ บนความต้องการของผู้บริโภคที่ชื่นชอบในรสชาติ

สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นโอกาสในการเติบโตของแบรนด์ต่างๆ ในธุรกิจก๋วยเตี๋ยวเรือ โดยเฉพาะแบรนด์ก๋วยเตี๋ยวเรือตามห้าง ที่เข้ามาเสิร์ฟผู้เข้ามาใช้บริการในห้างหรือศูนย์การค้าต่างๆ
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ระดับแมสอย่าง ก๋วยเตี๋ยวเรือเสาวรีย์, ก๋วยเตี๋ยวเรือพระนคร และแบรนด์ระดับพรีเมียมแมสอย่างทองสมิทธิ์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่สร้างรายได้ผ่านก๋วยเตี๋ยวเรือเกิน 100 ล้านบาทด้วยกันทั้งสิ้น และเป็นรายได้ที่เติบโตต่อเนื่องทุกปี ผ่านการขยายสาขาเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ยิ่งขึ้น
ก๋วยเตี๋ยวเรือพระนคร
ปี 2563 รายได้รวม 150.25 ล้านบาท กำไร 1.19 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้รวม 117.29 ล้านบาท กำไร 0.96 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้รวม 285.18 ล้านบาท กำไร 24.60 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้รวม 373.84 ล้านบาท กำไร 30.60 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้รวม 476.01 ล้านบาท กำไร 36.14 ล้านบาท
ก๋วยเตี๋ยวเรือเสาวรีย์
ปี 2563 รายได้รวม 6.45 ล้านบาท กำไร 0.38 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้รวม 7.39 ล้านบาท กำไร 0.38 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้รวม 27.10 ล้านบาท กำไร 1.23 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้รวม 54.89 ล้านบาท กำไร 1.55 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้รวม 122.45 ล้านบาท กำไร 2.34 ล้านบาท
ส่วนก๋วยเตี๋ยวเรือพรีเมียมแมส อย่างทองสมิทธิ์ ได้สร้างรายได้ปีที่ผ่านมาระดับ 1,160 ล้านบาท และที่ผ่านมามีผลประกอบการดังนี้
ปี 2563 รายได้รวม 286.83 ล้านบาท กำไร 38.78 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้รวม 365.62 ล้านบาท กำไร 41.68 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้รวม 704.08 ล้านบาท กำไร 161.98 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้รวม 856.65 ล้านบาท กำไร 195.67 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้รวม 1,159.62 ล้านบาท กำไร 240.87 ล้านบาท
นอกเหนือจากการเติบโตของแบรนด์ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือต่างๆ ความนิยมในก๋วยเตี๋ยวเรือยังดึงดูดให้ผู้ที่เคยอยู่ในธุรกิจอาหารอื่นๆ เข้ามาลงในธุรกิจก๋วยเตี๋ยวเรือด้วย เช่น เครือรวยไม่หยุด เปิดแบรนด์ “เกศเตี๋ยว” สาขาแรกที่สยามสแควร์ เพื่อฐานลูกค้าเข้าถึงกลุ่มแมสมากขึ้น จากเดิมที่ร้านอาหารในเครือส่วนใหญ่จับกลุ่มพรีเมียมแมสเป็นหลัก รวมถึงการเข้ามาเปิดร้าน “ไทยไทย” ของ Yuzu Group ขายก๋วยเตี๋ยวเรือและอาหารไทยอื่นๆ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ๆ อีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เจ้าของสถานีบริการน้ำมันพีที และร้านกาแฟพันธุ์ไทย ยังได้ทดลองเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเรือแบรนด์พันธุ์ไทยที่รังสิต คลอง 3 เพื่อมองหาโอกาสใหม่ๆ ในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือที่เป็นโอกาสสร้างรายได้ เพราะในกลุ่มก๋วยเตี๋ยวกึ่งสำเร็จรูป ยังมีแบรนด์ต่างๆ ที่ออกรสก๋วยเตี๋ยวเรือมาทำตลาด เช่น ท่าสยาม ที่ปรับธุรกิจจากร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือกึ่งสำเร็จรูป เพื่อเข้าถึงลูกค้าตามบ้าน
รวมถึงแบรนด์อื่นๆ อย่าง เลอรส, Thai Taste, จั๊บจั๊บ, มังกรคู่, ตราเกษตร และแบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่าง ยำยำ และ มาม่า ก็มาทำตลาดรสก๋วยเตี๋ยวเรือเช่นกัน
เพราะก๋วยเตี๋ยวเรือเป็นหนึ่งในเมนูเส้นที่ใครหลายคนชื่นชอบในความแซ่บ ครบรส
