จากมาตรการภาษีส่งออก 36% ที่ไทยต้องจ่ายให้กับสหรัฐอเมริกาตามข้อกำหนดภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs)  ของทรัมป์ ได้สร้างต้นทุนที่สูงขึ้นให้กับผู้ประกอบการไทยบางกลุ่มอย่างมหาศาล


เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศอันดับ 1 ที่ไทยส่งออกสูงสุด ด้วยมูลค่าถึง 909,483.59 ล้านบาท อ้างอิงล่าสุดช่วงเดือนมกราคม–พฤษภาคม 2568
รองลงมาได้แก่ จีน มูลค่า 576,744.57 ล้านบาท
ญี่ปุ่น มูลค่า 327,343.31 ล้านบาท
อินเดีย มูลค่า 242,692.73 ล้านบาท
มาเลเซีย มูลค่า 177,803.59 ล้านบาท

โดยที่ผ่านมาไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐอเมริกาคิดเป็นมูลค่าดังนี้
ปี 2565 มูลค่า 1,648,710.21 ล้านบาท
ปี 2566 มูลค่า 1,667,729.34 ล้านบาท
ปี 2567 มูลค่า 1,928,483.71 ล้านบาท
มกราคม–พฤษภาคม 2568 มูลค่า 909,483.59 ล้านบาท

จึงเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs)  ของทรัมป์ ทำให้กลุ่มสินค้าที่ไทยส่งออกสหรัฐอเมริกาได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

โดยสินค้าส่งออกที่ไทยส่งไปยังสหรัฐอเมริกา 10 อันดับแรก ระหว่างเดือนมกราคม–พฤษภาคม 2568 ได้แก่

  • เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สัดส่วน 30.39%

  • เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สัดส่วน 28.03%

  • ผลิตภัณฑ์ยาง สัดส่วน 8.12%

  • ยานยนต์และชิ้นส่วน สัดส่วน 3.77%

  • อัญมณีและเครื่องประดับ สัดส่วน 3.73%

  • พลาสติกและผลิตภัณฑ์จากพลาสติก สัดส่วน 2.57%

  • เหล็ก สัดส่วน 1.98%

  • เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน สัดส่วน 1.71%

  • เครื่องมือวิทยาศาสตร์และการแพทย์ สัดส่วน 1.70%

  • อาหารสัตว์ สัดส่วน 1.63%

ส่วนปี 2567 กลุ่ม 10 สินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐอเมริกามากที่สุด ได้แก่

  • เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สัดส่วน 31.97%

  • เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สัดส่วน 24.75%

  • ผลิตภัณฑ์ยาง สัดส่วน 9.15%

  • ยานยนต์และชิ้นส่วน สัดส่วน 4.26%

  • อัญมณีและเครื่องประดับ สัดส่วน 3.59%

  • พลาสติกและผลิตภัณฑ์จากพลาสติก สัดส่วน 2.56%

  • เหล็ก สัดส่วน 2.09%

  • เครื่องมือวิทยาศาสตร์และการแพทย์ สัดส่วน 1.80%

  • เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน สัดส่วน 1.78%

  • ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์และสัตว์น้ำ สัดส่วน 1.65%

ในทางกลับกันสินค้าที่สหรัฐอเมริกาส่งมาจำหน่ายในประเทศไทย มีมูลค่าดังนี้
ปี 2565 มูลค่า 623,958.87 ล้านบาท
ปี 2566 มูลค่า 673,096.33 ล้านบาท
ปี 2567 มูลค่า 695,157.08 ล้านบาท
มกราคม–พฤษภาคม 2568 มูลค่า 290,951.03 ล้านบาท

โดยสินค้าที่สหรัฐอเมริกาส่งมายังไทย กลุ่มสินค้า 10 กลุ่มสินค้าหลัก ในช่วงเดือนมกราคม–พฤษภาคม 2568 ได้แก่ 

  • น้ำมันดิบ สัดส่วน 22.73%

  • เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สัดส่วน 9.78%

  • เคมีภัณฑ์ สัดส่วน 5.90%

  • เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ สัดส่วน 4.90%

  • แผงวงจรไฟฟ้า สัดส่วน 4.53%

  • พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช สัดส่วน 4.36%

  • ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ สัดส่วน 3.94%

  • เครื่องมือวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ สัดส่วน 3.71%

  • เครื่องบิน สัดส่วน 3.62%

  • ยุทธปัจจัย สัดส่วน 3.56%

อย่างไรก็ดีก่อนการเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) 36% อย่างเป็นทางการ ทรัมป์ยังเปิดโอกาสให้ไทยเข้าเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งถ้าการเจรจาเป็นผลที่น่าพอใจวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส สายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มองว่าอาจมีการปรับลดอัตราภาษีลงได้

โดยวชิรวัฒน์ วิเคราะห์ว่าจากทางการไทยได้ยื่นข้อเสนอต่อสหรัฐอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา  เป็นข้อเสนอที่ค่อนข้างครอบคลุมกับสิ่งที่สหรัฐอเมริกา เรียกร้องในแถลงการณ์ และมีโอกาสที่จะได้ลดภาษีนำเข้าลงลงได้

จากกรณีของเวียดนามที่ยื่นข้อเสนอให้สหรัฐฯ แต่ยังคงถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 20% ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าไทยอาจต้องเผชิญกับอัตราภาษีในช่วง 20–35%

ส่วนในเรื่องของกลุ่มผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบหนักจากการถูกเรียกเก็บด้านภาษีในกรณีส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกานั้นทาง SCB EIC มองว่า เป็นกลุ่มผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ
ซึ่งถ้า
ไม่นับรวมภาษีตอบโต้  (Reciprocal tariffs) ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาได้ทยอยประกาศใช้นโยบายภาษีนำเข้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยเริ่มโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นภาษีนำเข้า 10% จากสินค้าทุกประเทศ (Universal Tariffs), มาตรการภาษีเฉพาะสินค้า (Specific Tariffs) ออกมาอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งล่าสุดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกาได้ออกประกาศมาตรการภาษีเฉพาะสินค้าเพิ่มเติม เพื่อขยายขอบเขตให้ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง (Derivative Products) ที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ ซึ่งรวมถึงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้ HS code 84 และ 85 (เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) รวมกัน 10 รายการ

เช่น เครื่องซักผ้า, ตู้เย็น, เครื่องอบผ้า และเครื่องล้างจาน เป็นต้น โดยทุกประเทศจะถูกเก็บภาษีสูงสุดถึง 50% ตามสัดส่วนของมูลค่าเหล็กที่ใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ ยกเว้นสหราชอาณาจักร (UK) ที่อยู่ระหว่างได้รับการผ่อนผันให้เสียภาษี 25%

ส่วนกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ส่วนประกอบของเหล็กที่หลอมในสหรัฐฯ จะได้รับการยกเว้นภาษีเป็น 0% ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา

เหตุผลที่สหรัฐอเมริกาปรับขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกา และลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าทุน เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม เป็นต้น

มาตรการภาษีนี้ SCB EIC ประเมินว่าจะส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทยใน 5 กลุ่มสินค้า

ได้แก่ ตู้เย็น, ตู้แช่แข็ง, เครื่องอบผ้าขนาดใหญ่, เครื่องซักผ้าขนาดใหญ่ และเครื่องล้างจาน ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาที่สูง คิดเป็นสัดส่วน 4.1% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด

โดยเฉพาะสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีครั้งนี้ค่อนข้างสูง ได้แก่ เครื่องล้างจาน, เครื่องซักผ้าขนาดใหญ่ และตู้เย็น เนื่องจากมีสัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อยู่ที่ 56%, 28% และ 13% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในแต่ละหมวดสินค้า ตามลำดับ


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer