Yunomori ออนเซ็นญี่ปุ่นกลางกรุง ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นโอกาสใหม่ของธุรกิจ Wellness ไทย
หลายคนที่เคยเดินทางไปญี่ปุ่นคงได้มีโอกาสลองสัมผัสการแช่บ่อน้ำร้อนที่เรียกว่า “ออนเซ็น” กันมาบ้าง
โดยออนเซ็นนับว่าเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น และวัฒนธรรมนี้ก็ได้แผ่ขยายเข้ามาสู่ประเทศไทยแล้ว
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจออนเซ็นในไทยเกิดขึ้นจำนวนไม่น้อย ตามกระแสการดูแลสุขภาพและการพักผ่อนแบบใหม่ที่กำลังมาแรง
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ คนไทยซึ่งดูเหมือนจะไม่คุ้นชินกับวัฒนธรรมนี้ในตอนแรก กลับกลายมาเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของบางบริษัท
Marketeer ได้พูดคุยกับ สมิทธิ์ เมฆอรุณกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของ Yunomori Onsen ถึงที่มาของธุรกิจนี้ และเทรนด์ wellness ที่กำลังเติบโตในประเทศไทย
.
จุดเริ่มต้นของธุรกิจYunomoriเกิดจากการสังเกตเห็นกลุ่มชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ (Expat) ซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ และมีธุรกิจรองรับอยู่บ้าง เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านค้าเฉพาะทาง แต่กลับยังไม่ค่อยมีออนเซ็นเลยในปี 2012
สมิทธิ์เล่าว่า ตอนแรกเขาก็มองว่าออนเซ็นต้องเป็นบ่อน้ำพุร้อนจากน้ำแร่ธรรมชาติในต่างจังหวัดของญี่ปุ่นเท่านั้น
แต่หลังจากได้ศึกษาเพิ่มเติม เขาก็รู้จัก “Super Sento” หรือ “ออนเซ็นในเมือง” ที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่น เพราะตอบโจทย์คนเมืองที่ต้องการพักผ่อนจากชีวิตที่วุ่นวาย ไม่ต้องเดินทางไกลๆ
ด้วยแนวคิดนี้ Yunomoriจึงนำวัฒนธรรมการแช่ออนเซ็นแบบญี่ปุ่นแท้ๆ มาผสมผสานเข้ากับการนวดแผนไทย กลายเป็นจุดเด่นและความแตกต่างที่ไม่เหมือนใครในตลาด
“สปาในเมืองไทยส่วนใหญ่มักจะเหมือนการซื้อชั่วโมงเข้าไปนวด พอนวดเสร็จก็จบ มีรองเท้าวางรอแล้ว แต่คอนเซปต์ของเราคือ อยากให้คนมาพักผ่อนจริงๆ เราเลยขายเป็น Day Pass คุณจ่ายเงินครั้งเดียวแล้วอยู่ได้ทั้งวัน ไม่ต้องเร่งรีบ จะแช่กี่รอบก็ได้ ทานข้าว ดื่มชา แล้วกลับมาแช่ต่ออีกก็ยังได้”
Yunomoriพยายามทำให้เป็นศูนย์บริการแบบครบวงจร (One Stop Service) ที่มีทั้งออนเซ็น สปา ร้านอาหาร คาเฟ่ และ Tea Bar ครบจบในที่เดียว ทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกผ่อนคลาย และใช้เวลาพักผ่อนได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา
“หลังแช่ออนเซ็นเสร็จ กล้ามเนื้อมันจะคลาย ถ้านวดตอนนี้มันจะรู้สึกดีมากขึ้นไปอีก เพราะงั้นความรู้สึกแบบนี้ ผมว่ากระทั่งคนญี่ปุ่นเองเขาก็ยังไม่เคยได้สัมผัส”
.
ด้านลูกค้าของ Yunomori สมิทธิ์เผยว่า ลูกค้าคนไทยมีสัดส่วนสูงถึง 60% นักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 30% และที่เหลือเป็น expat ซึ่งต่างจากที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงเริ่มต้น
“ตอนแรกเราคิดว่าลูกค้าหลักน่าจะเป็นคนญี่ปุ่น แต่ก็เซอร์ไพรส์ที่คนไทยกลับกลายมาเป็นลูกค้าหลักของเรา
พอมานึกดูจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ตกใจมาก เพราะคนไทยมีความผูกพันกับญี่ปุ่นมายาวนาน อ่านการ์ตูน ดูรายการทีวีญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็ก วัฒนธรรมจึงค่อนข้างใกล้เคียงและเปิดรับกันได้ง่าย”
ลูกค้าคนไทยส่วนใหญ่มักเป็นคนรุ่นใหม่ที่ชอบการเดินทาง เคยไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยครั้ง และชอบการพักผ่อนในรูปแบบใหม่ๆ รวมถึงกลุ่มครอบครัวที่ต้องการใช้เวลาดีๆ ร่วมกัน
“เราพยายามทำให้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถมาพักผ่อนได้จริงๆ นี่เป็นหนึ่งในกิจกรรมไม่กี่อย่างที่คุณสามารถมากับแฟน เพื่อน พ่อแม่ หรือมากับลูกก็ยังได้ ทุกคนสามารถสนุกและผ่อนคลายไปด้วยกันได้”
แม้ช่วงแรกจะมีลูกค้าบางส่วนรู้สึกเขินอายกับการแช่ออนเซ็น Yunomori จึงปรับให้เหมาะกับคนไทยมากขึ้น เช่น มีชุดชั้นในแบบใช้แล้วทิ้ง หรือบางสาขาอนุญาตให้ใส่กางเกงบ๊อกเซอร์ได้ แต่ท้ายที่สุด ลูกค้าส่วนใหญ่ก็รู้สึกสบายกว่าในการแช่โดยไม่ต้องใส่อะไรเลย
.
สมิทธิ์ยังกล่าวถึงกระแส wellness ที่เติบโตขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ และเลือกทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพอย่างจริงจังมากขึ้น
“กระแสนี้มีมานานแล้ว แต่ที่เห็นชัดขึ้นเพราะคนรุ่นใหม่ทั่วโลกให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น ดื่มน้อยลง ไปผับหรือบาร์น้อยลง และเริ่มดูแลสุขภาพก่อนที่ตัวเองจะป่วย”
เมื่อถูกถามว่ากระแส wellness นี้จะเป็นแค่เทรนด์ชั่วคราวหรือไม่ สมิทธิ์มองว่าไม่ใช่แค่กระแสชั่วครู่ แต่กำลังกลายเป็นพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่จริงๆ
“คุณลองไปสวนเบญจกิติจะเห็นเลย คนไปวิ่งเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นเด็กรุ่นใหม่ เขาไม่ได้ไปเพื่อถ่ายรูป แต่ไปดูแลตัวเองจริงๆ
Wellness จึงน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของคนเมืองรุ่นใหม่ลึกขึ้นเรื่อยๆ และเราก็เชื่อว่าออนเซ็นจะกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกหลักในการพักผ่อนของคนเมืองยุคใหม่ต่อไป”
.
ปัจจุบัน Yunomori Onsen มี 3 สาขาในประเทศไทย ได้แก่ สุขุมวิท สาทร และพัทยา รวมถึงมี 1 สาขาในประเทศสิงคโปร์
“สิงคโปร์มี Pain Point เหมือนกับไทย ที่คนเมืองอยากจะหาที่พักผ่อน อยากจะหาที่มาหลบหนีจากความวุ่นวาย สปาที่สิงคโปร์จะมีอะไรเหมือนๆ กันหมด ขายของคล้ายๆ กัน จะมีกิมมิคต่างกันเล็กน้อย เช่น ใช้น้ำมันคนละชนิด เราเห็นโอกาสตรงนี้เลยเข้าไปเสนอความแตกต่างที่นั่น”
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจออกไปยังหัวเมืองใหญ่ๆ ในไทย เช่น ภูเก็ต กระบี่ และเชียงใหม่
.
นี่เป็นภาพรวมที่ Marketeer ได้จากบทสัมภาษณ์สั้นๆ กับสมิทธิ์ ซึ่งทำให้เราเห็นถึงแนวโน้มและทิศทางที่น่าจับตาของอุตสาหกรรมออนเซ็นในประเทศไทย ที่เติบโตขึ้นพร้อมกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ♦
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
