สุธิดา มงคลสุธี ไม่ใช่แค่เป็นลูกสาวท่านประธาน แต่เป็นแม่ทัพหญิงแกร่งของ SYNNEX ผู้ปั้นยอดขายไอทีกว่า 40,000 ล้าน

การถูกโปรโมตขึ้นมาเป็นประธานบมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) หรือ SYNEX ตั้งแต่อายุเพียง 32 ปี
และการเป็น CEO หญิงอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม Synnex Global ทำให้เธอเคยถูกมองด้วยสายตาที่แสดงความสงสัยมากมาย

เธอเลือกที่จะไม่พูดมากในตอนแรก แต่ฟังให้มาก สังเกตให้ลึก และแสดงให้เห็นผ่านผลลัพธ์ว่าเธอไม่ได้มาเพราะเป็นลูกใคร แต่เพราะ “เธอพาองค์กรไปต่อได้”

เพียงแค่ระยะเวลา 10 ปี   ในปีที่ผ่านมา Synnex สามารถทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 42,144 ล้านบาท

และได้ก้าวจากผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไอทีและเทคโนโลยีครบวงจร  สู่การเป็น Tech Ecosystem ที่ตอบโจทย์ทุกชีวิต ทุกบ้าน ทุกองค์กรในอนาคต
ตามไปอ่านเรื่องราวของเส้นทางหญิงแกร่งคนนี้ ที่ไม่เพียงแต่ “รับช่วงต่อ” แต่ยังสามารถสร้างองค์กรให้กลายเป็น “ผู้นำของการเปลี่ยนแปลง”

สุธิดาจบการศึกษาด้านการเงินจากคณะบัญชี จุฬาฯ และเริ่มต้นทำงานที่บริษัทหลักทรัพย์ โดยมีประสบการณ์หลากหลาย รวมถึงตำแหน่งนักวิเคราะห์

ต่อมาได้ไปเรียนต่อที่จีน อังกฤษ และเยอรมนี ก่อนกลับมาทำงานในบริษัทครอบครัว จากตำแหน่งเลขานุการบริษัทจนถึง CFO
บางช่วงของชีวิตเธอก็คือเด็กฝึกงานคนหนึ่งในบริษัทของพ่อที่เป็นประธานบริษัท และเธอรู้เป้าหมายดีว่า ในอนาคตเธอต้องนั่งเก้าอี้ตัวไหน

จากเด็กฝึกงานสู่ตำแหน่งซีอีโอ

หลังจากกลับมาทำงานจริงจังในบริษัท เธอเริ่มต้นจากงานเลขานุการบริษัท ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ (IR) และต่อมาขึ้นมาเป็น CFO
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อคุณพ่อ (สุพันธุ์ มงคลสุธี) ได้รับตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ต้องทุ่มเททั้งเวลาอย่างมากกับภารกิจนั้น ทำให้สุธิดาต้องขึ้นมารับตำแหน่งซีอีโอแทนเร็วกว่าที่วางแผนไว้

ในวันที่เธอขึ้นมาเป็นแม่ทัพคุมอาณาจักรของธุรกิจครอบครัวนั้น สุธิดาเป็น CEO ที่อายุน้อยที่สุดถ้าเทียบกับ Synnex ในหลายประเทศ

“สิ่งที่ค่อนข้างกดดันที่สุดในช่วงเวลานั้น คือทำอย่างไรให้พนักงานเราเอง และพาร์ตเนอร์เชื่อมั่นและไว้วางใจว่าเราสามารถนำพาบริษัทไปต่อได้”

ช่วงแรกจึงใช้เวลาส่วนใหญ่เดินทางไปพบดีลเลอร์ทั่วประเทศ ไปเจอเวนเดอร์ในหลายประเทศ เพื่อเรียนรู้ เข้าใจธุรกิจ และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น จากนั้นจึงกลับมาทบทวนว่า ในฐานะคนที่ดูงบการเงินมาตลอด เข้าใจโครงสร้างธุรกิจดีแล้ว จะพาบริษัทไปต่อให้แข็งแรงได้อย่างไร

วันที่ได้รับอำนาจเต็มมือ และเลือกใช้มันด้วยความเข้าใจ

เธอยอมรับว่า การเป็นผู้นำที่ยังเด็กมากในสายตาของหลายคนในบริษัทอาจจะมีปัญหาบ้างในเรื่องการเปิดใจยอมรับเต็มร้อย เพราะผู้บริหารส่วนใหญ่ตอนนั้นก็เป็นรุ่นคุณพ่อเกือบหมด ไม่มีผู้บริหารรุ่นเดียวกันกับเราเลย ทั้งในบริษัทและพาร์ตเนอร์

“แต่สิ่งที่โชคดีมากคือคุณพ่อให้อำนาจการตัดสินใจอย่างเต็มที่ตั้งแต่วันแรก อยากขอบคุณคุณพ่อจริง ๆ เพราะถ้าวันนั้นทุกคนยังต้องโทรเช็กกับคุณพ่อทุกครั้งที่เราตัดสินใจอะไร เพื่อจะย้ำว่าใช่มั้ย ถูกมั้ย มันคงไปต่อยาก”

การทุ่มเทเวลาในการเรียนรู้งานอย่างเต็มที่ การไปเจอลูกค้า ไปพรีเซนต์กับผู้บริหาร เพื่อเข้าใจภาพรวมให้ลึกที่สุดก่อนจะตัดสินใจอะไร และไม่กลัวที่จะเรียนรู้เทคโนโลยี แม้จะไม่ได้มาจากสายวิศวะ แต่เธอกลับมองเทคโนโลยีเป็นโอกาส ไม่ใช่อุปสรรค

“ช่วงแรก ๆ เน้นฟังเยอะมากค่ะ เพราะยังต้องเรียนรู้หลายอย่าง แต่พอเริ่มมีประสบการณ์มากขึ้น ก็เริ่มพูดมากขึ้น กล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น ตรงนี้เลยต้องหาจุดบาลานซ์ให้ดีว่าจะฟังจะพูดอย่างไรให้มีน้ำหนักพอดี”

วิกฤตของแท็บเล็ต สร้างโอกาสสำคัญ

ช่วงหนึ่งตลาดเริ่มเปลี่ยนจากโน้ตบุ๊กไปสู่แท็บเล็ต ผู้บริโภคและดีลเลอร์เริ่มชะลอการซื้อโน้ตบุ๊ก เพราะรอดูเทรนด์แท็บเล็ต แต่ตอนนั้นเรามีโน้ตบุ๊กทุกแบรนด์มากมายในสต็อก

ตรงนั้นเองคือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้ Synnex รู้ว่าไม่สามารถพึ่งพิงรายได้จากโน้ตบุ๊กหรือพีซีได้อีกต่อไป แม้ตอนนั้นเราจะเชี่ยวชาญด้านอะไหล่คอมพิวเตอร์และไอทีแบบเต็มตัว แต่ตลาดบอกเราว่า “มันไม่พอ” เราต้องขยายพอร์ตสินค้า และเติบโตไปให้ไกลกว่านั้น

การมาของแท็บเล็ตจึงไม่ใช่แค่วิกฤต แต่คือแรงผลักสำคัญ ที่ทำให้เราเริ่มเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ๆ และวางรากฐานสู่การเป็น Tech Ecosystem ในวันนี้

ที่สำคัญ เมื่ออำนาจการอนุมัติสิ้นสุดที่เรา “ทำให้การบริหารง่ายขึ้น” สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำกันตลอดคือ “ความเชื่อใจในกันและกัน” ถ้าทีมไม่เชื่อใจกัน เราจะไม่กล้าก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน ไม่กล้าท้าทายสิ่งที่เราคุ้นเคยแน่นอน

ที่ผ่านมาการเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดโน้ตบุ๊กหรือคอมโพเนนต์ไม่ใช่เรื่องผิด

แต่คำถามคือ เราจะหยุดอยู่แค่นั้น หรือจะกล้าก้าวไปไกลกว่านั้น?

นี่คือคำตอบที่ว่า หลังจากนั้นทำไม Synnex ถึงกล้ากระโดดเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และขยายธุรกิจออกไปอีกมากมาย

“Trusted by Synnex” 

Synnex ได้สร้างวัฒนธรรมในองค์กรด้วยคำว่าTrusted ที่เดินหน้าไปด้วยกันด้วยความเชื่อใจ ไว้วางใจกัน และส่งต่อความเชื่อมั่นนี้ให้กับลูกค้าด้วย การรับประกันสินค้าภายใต้สัญลักษณ์ Trusted by Synnex

เธอบอกว่า แนวคิดเรื่อง “Local Trusted Business” เริ่มมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ แต่พอมาถึงรุ่นเธอได้ ใส่เรื่องวัฒนธรรมองค์กรและความไว้ใจเข้าไปมากขึ้น และพบว่านี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ Synnex แตกต่าง

ลูกค้าต้องเชื่อมั่นเราไม่ใช่แค่เรื่องการเป็น Distributor รายใหญ่ แต่คือการลงมือทำจริง ทั้งระบบบริการหลังการขาย การสร้างศูนย์บริการของตัวเอง และการใส่ใจในเรื่องของ Customer Experience

สุธิดายืนยันว่ามีการทำ Survey ลูกค้าตลอด เพื่อเช็กว่าประสบการณ์ที่ได้รับจากศูนย์บริการดีพอไหม บางแคมเปญมี Fast Track ให้ลูกค้าบางกลุ่มซ่อมไวพิเศษ ถ้าเป็นสินค้าที่เรามีอะไหล่เอง มี KPI ชัดเจนว่าต้องซ่อมให้เสร็จภายในเวลาเท่าไหร่

หรือสินค้าบางประเภท เราเปลี่ยนเครื่องใหม่ทันทีโดยไม่ต้องรอซ่อม เพราะความรู้สึกของลูกค้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอดทนรอได้ บางคนต้องใช้ของด่วน การสื่อสารให้ดีจึงสำคัญไม่แพ้ความเร็วในการซ่อม

ตอกย้ำด้วย “Branding” B2B ทำไมต้องทำ

ถ้าย้อนกลับไปสมัยก่อน เรามองตัวเองเป็นธุรกิจ B2B และคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำการตลาด เพราะดีลเลอร์ทุกคนรู้จักเราอยู่แล้ว แต่เมื่อโลกเปลี่ยน ความสำคัญของ “แบรนด์ดิ้ง” เริ่มชัดเจนมากขึ้น

พร้อม ๆกับการทำ PR เริ่มเข้มข้นขึ้น เพราะต้องการให้ End User เห็นโลโก้เราแล้วรู้สึกว่า “เฮ้ย! ฉันอยากซื้อแบรนด์นี้” เพราะมั่นใจในการบริการหลังการขายด้วย

การทำแบรนด์ดิ้งเพื่อให้ผู้บริโภคจดจำได้ และเมื่อแบรนด์ชัดเจนขึ้น ก็เกิด “การบอกต่อ” จากลูกค้าจริงอย่างเป็นธรรมชาติ

อนาคต ดิสทริบิวเตอร์จะยังจำเป็นอยู่ไหม ถ้าแบรนด์หันมาขายตรงเองทั้งหมด

แล้วกำไรของดิสทริบิวเตอร์จะหายไปหรือเปล่า?  สุธิดายืนยันว่า
บางแบรนด์ใช่ แต่อีกหลายแบรนด์เขาต้องการชาแนลที่เยอะมากขึ้น ไม่ต้องการซื้อตรงแล้วต้องมาบริหารจัดการเอง
เธอยกตัวอย่างว่า

เมื่อ 2 ปีก่อน ตอนที่เราเข้าไปพรีเซนต์กับทางแบรนด์ Nintendo เราเน้นให้เห็นว่า Synnex มีความเข้าใจตลาด เข้าใจผู้บริโภค และมีจุดแข็งด้านความน่าเชื่อถือ ภายใต้สัญลักษณ์ Trusted by Synnex ซึ่งเมื่อนำมาร่วมกับแบรนด์ Nintendo จะช่วยตอกย้ำคุณภาพและความมั่นใจให้กับลูกค้า ทั้งในด้านการรับประกันสินค้า การบริการหลังการขายที่ครอบคลุม และมาตรฐานที่ลูกค้าสามารถไว้วางใจได้

สุดท้าย Nintendo ก็ตัดสินใจเลือกดีลกับเรา ซึ่งในประเทศไทยทุกคนรู้จัก Synnex ในฐานะ Distributor ที่ผู้บริโภคไว้วางใจ

ฟันธง  AI คือคลื่นลูกใหญ่ที่จะมาเปลี่ยนเกมฮาร์ดแวร์

“เราทำธุรกิจนี้มา 37 ปี เทคโนโลยีเปลี่ยนมาตลอด แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนเร็วมาก เร็วกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะยุค AI ที่ทำให้เกิดผู้เล่นใหม่ ๆ และบริษัทเทคโนโลยีหน้าใหม่ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด”

ที่ผ่านมาอาจมองแค่ภาพผิวเผิน เช่น สมาร์ตโฟนถ่ายรูปได้สวยขึ้น แต่ความจริงแล้ว AI เข้าไปอยู่ในทุกส่วนของฮาร์ดแวร์ ไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิด (CCTV) ที่ใช้ AI วิเคราะห์ใบหน้าเพื่อจับความผิดปกติ หรือระบบเครือข่าย (Networking) ที่ใช้ AI ช่วยจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ที่จริง Synnex ค่อนข้างเคยชินกับเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่เรามองว่า  wave นี้ เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่มากที่สุด”
และการมาของ AI ทำให้วงการฮาร์ดแวร์เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

“เราโชคดีที่มีพันธมิตรแบรนด์ระดับโลกอยู่กับเรา และทุกครั้งที่ประชุมกับเวนเดอร์เหล่านี้ เราจะได้รับสัญญาณของ เทรนด์ล่วงหน้า  ถ้าแบรนด์ใหญ่พูดตรงกัน 2–3 ราย นั่นแปลว่า  เทรนด์นั้นกำลังมาแน่นอน”

ดังนั้นหน้าที่ของเราคือ เตรียมตัวให้เร็ว  โดยปีนี้ได้ลงทุนกับ AI เยอะมาก เช่น ลงทุนในระบบที่ชื่อว่า AI Trust One ด้วย ซึ่งระบบนี้จะช่วยดีลเลอร์ของเราวางแผนฟอร์แคสต์ (Forecast) ได้แม่นยำขึ้น เช่น รู้ว่าสินค้าตัวไหนจะขายดีหรือขายเร็ว และควรจัดพอร์ตสินค้าอย่างไร”ฃ

ทุกวันนี้เราอธิบายยากมากว่า “Synnex ขายอะไร” เพราะเราขายแทบทุกอย่าง และในอนาคตเราตั้งใจจะขายทุกอย่างจริง ๆ ไม่ว่าใครจะอยู่ในธุรกิจไหน ก็มักจะเจอสินค้าหรือบริการของเราซ่อนอยู่ในนั้นเสมอ


เราจึงเตรียมสร้างเทคโนโลยีโชว์เคส เพื่อให้คนเห็นชัดเจนว่าเราขายอะไรบ้าง พร้อมกับปรับปรุงคลังสินค้าโดยใช้ระบบใหม่ชื่อว่า System Fiveซึ่งจะทำให้ Synnex เป็นบริษัทแรกในไทยที่ใช้หุ่นยนต์ (Robotics) จัดการคลังสินค้าอย่างเต็มรูปแบบ

ถ้าเราจะไปถึง 100,000 ล้านบาทได้  คนต้องชัด

Synnex เพิ่งเริ่มใช้ระบบ KPI อย่างจริงจังเมื่อ 2 ปีก่อน เพื่อช่วยให้เราเห็นว่าแต่ละคนเก่งด้านไหน ควรเติบโตไปทางใด และใครกำลังเดินไปในทิศทางเดียวกับองค์กร
เพราะถ้าเราไม่เห็น “คนเก่ง” เหล่านี้ พวกเขาอาจกลายเป็นคนเก่งขององค์กรอื่น KPI จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือประเมินผล แต่คือ “เข็มทิศ” ที่ช่วยให้ทุกคนเห็นทิศทางเดียวกัน เราเชื่อว่าทุกคนมีคุณค่าในพื้นที่ของตัวเอง หน้าที่ของระบบคือการทำให้ Value นั้นชัดขึ้น มองเห็นได้ และนำไปต่อยอดได้

“วันนี้ Synnex มีรายได้กว่า 40,000 ล้านบาท และถ้าเราจะไปถึง 100,000 ล้านบาทได้ องค์กรต้องชัด คนต้องชัด และทุกคนต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้ เป้าหมายขององค์กร กลายเป็น เป้าหมายร่วมของทุกคน ”

ภาพที่น่าประทับใจของแม่ทัพหญิงแกร่งของ Synnex คนนี้คือในขณะที่เธอเต็มที่กับงานตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี อีกด้านหนึ่งคือเธอยังเป็นคุณแม่ลูกสาม วัย 7 ปี, 5 ปี และ 3 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ต้องการความรักและเวลาไม่ต่างจากพนักงานในองค์กร

“พลังชีวิตในการทำงานในแต่ละวัน ได้มาจากพวกเขาเลยค่ะ” สุธิดา มงคลสุธี ทิ้งท้ายบทสัมภาษณ์ด้วยประโยคนี้ พร้อมกับสายตาที่เป็นประกายแห่งความมุ่งมั่น ♦

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer