เรื่องราวของ PETPAL (เพ็ทพัล) เริ่มต้นเมื่อประมาณปี 2557
เมื่อ วสกร โมรากุล ที่จบคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตัดสินใจหันหลังให้เส้นทางการแพทย์ มาร่วมทำธุรกิจอาหารสัตว์กับน้องชาย วัฒนา โมรากุล ที่จบจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ
ขณะนั้นตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยยังไม่เฟื่องฟูเท่าปัจจุบัน ผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นบริษัทใหญ่ที่นำวัตถุดิบเหลือจากอุตสาหกรรมอื่นมาผลิตอาหารสัตว์
ในปี 2558 เริ่มลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแห่งแรกในจังหวัดสระบุรี ด้วยกำลังการผลิต 12,000 ตันต่อปี

PETPAL เริ่มต้นที่พุ่งเป้าไปขายตลาดต่างประเทศตั้งแต่แรก โดยใช้การขายผ่านมาร์เก็ตเพลซ ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการเข้าถึงลูกค้าในแต่ละประเทศ
ช่วงแรก ๆ ส่งขายแบบเดาสุ่ม จนกระทั่งเขาเห็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของลูกค้าในประเทศดูไบ เลยได้ตัดสินใจเลือกดูไบเป็นประเทศแรกในการส่งออกผ่านดิสทริบิวเตอร์
จุดขายคือคุณภาพใกล้เคียงแบรนด์ยุโรป แต่ราคาถูกกว่า และใช้แพ็กเกจสีเขียวที่สื่อถึงความเป็นมิตรต่อผู้บริโภคมุสลิม ทำให้แบรนด์แตกต่างชัดเจน
จากนั้นก็เริ่มรับจ้างผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดแห้งแบบเม็ด ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้า (ODM) โดยให้บริการในรูปแบบครบวงจร ที่เติบโตสูงขึ้นอย่างมาก
พร้อม ๆ กับขยายตลาดต่อไปยังบาห์เรน โอมาน และประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน เช่น มาเลเซีย (ตลาดแมว), ฟิลิปปินส์ (ตลาดสุนัข)
โดยหลัก ๆ จะเป็นอาหารสุนัขพันธุ์ใหญ่ เช่น บูลด็อก ลาบราดอร์ เยอรมันเชพเพิร์ด ซึ่งล้วนกินเก่งและต้องการอาหารในปริมาณมาก ขณะที่แมวจะเป็นพันธุ์เปอร์เซียขนยาว ซึ่งก็มีความต้องการอาหารเฉพาะทางเช่นกัน
ปัจจุบัน PETPAL ส่งออกไปเกือบ 20 ประเทศ โดยเน้นอาเซียนและตะวันออกกลาง และที่สำคัญคือเลี่ยงตลาดเรดโอเชียนอย่างจีน ยุโรป และสหรัฐฯ
ความสำเร็จของ PETPAL
1.เลือกทำอาหารสุนัขในช่วงแรกที่ยังมีผู้เล่นน้อย2. เจาะตลาดตะวันออกกลางที่การแข่งขันต่ำและมีดีมานด์สูง 3.ตั้งราคา “กลาง” ไม่ถูกสุด ไม่แพงสุด แต่คุณภาพคุ้มค่า 4.ใช้ช่องทางออนไลน์ตั้งแต่ยุคแรก ทำให้เข้าถึงตลาดได้เร็ว
จนถึงวันนี้ เมื่อออเดอร์ล้น กำลังการผลิตเต็ม (36,000 ตัน/ปี) พนักงานต้องทำงานวันหยุด บริษัทจึงตัดสินใจยื่นไฟลิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

โครงสร้างรายได้ 601 ล้านบาท 574 ล้านบาท 683 ล้านบาท มาจาก ODM ร้อยละ 88.76 ร้อยละ 83.18 ร้อยละ 84.35 จากการขายสำหรับปี 2565, 2566, 2567
เป็นอาหารแมว 60–70% สุนัข 30–40% ตามเทรนด์การเลี้ยงที่เปลี่ยนไป
วันนี้PETPAL ยังกลับมารุกเฮาส์แบรนด์ของตัวเองมากขึ้น เช่น แบรนด์ “Smillie”, Boom, MYPETS, Animeals ที่ยังโฟกัสการขายในประเทศและตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก

เป้าหมายหลัง IPO
ขยายโรงงานที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มแวร์เฮาส์ และเร่งสร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภคจดจำ รวมทั้งการขยายตลาดด้วยสินค้าใหม่ โดยเฉพาะ Functional Food ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะสำหรับสัตว์เลี้ยงแต่ละสายพันธุ์
วสกร ยังยอมรับว่า ความท้าทายคือในตลาดนี้ผู้เล่นใหม่เข้ามาไม่หยุด พร้อม ๆ กับการเติบโตของตลาดสัตว์เลี้ยง PETPAL อาจมีข้อได้เปรียบจากการ “มาก่อน” และสร้างความเชื่อมั่นกับดีลเลอร์และลูกค้ามากกว่า 10 ปี
แต่โจทย์สำคัญต่อไปคือการรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวกับพาร์ตเนอร์ การรักษาตลาดเก่า หาตลาดใหม่ และสร้างการรับรู้ในแบรนด์ PETPAL ให้แข็งแรงควบคู่ไปกับธุรกิจ OEM
วันนี้ PETPAL กำลังยืนบนจุดเปลี่ยนสำคัญที่น่าจับตา เอสเอ็มอีรายเล็ก ๆ รายหนึ่งจะมีโอกาสโตแค่ไหนในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของโลก 🟥
