ไอคอนสยาม ตลอด 7 ปีที่เปลี่ยนทุกวิกฤติเป็นชัยชนะ ด้วยแผนล่วงหน้าและ Game Changer (วิเคราะห์)
หลายคนบอกว่า “สยามพิวรรธน์เจ๊งแน่” ถ้าข้ามแม่น้ำไป
ร้านค้าก็บอกว่า “รักนะ” แต่ตามไปไม่ไหว เพราะนั่นมันคือ “ฝั่งธน”
แต่วันนี้ “ไอคอนสยาม” กำลังเติบโตและเป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก พร้อมกับการเติบโตด้านรายได้และทราฟฟิก
และที่สำคัญ “ค่าเช่า” พื้นที่ไม่ต่างกับราคาที่สยามพารากอน
ตัวเลขอาจไม่สำคัญเท่าการยกระดับฝั่งธนบุรีให้เติบโตทางเศรษฐกิจเทียบเท่าฝั่งพระนคร
ไอคอนสยามนอกจากจะเป็นตัวอย่างหนึ่งของสยามพิวรรธน์ ที่ไม่เคยหยุดลงทุนแม้อยู่ในช่วงวิกฤติ
ยังสะท้อนถึง “ความกล้า” ที่จะสร้าง “เมืองใหม่” บนฝั่งธนบุรี ด้วยความมั่นใจว่า สิ่งนี้คือผลลัพธ์จากการตกผลึกของทุกประสบการณ์และความเจ็บปวด จากการบริหารโครงการ และการผ่านทุกวิกฤติที่เคยเผชิญมาจากย่านสยามฝั่งกรุงเทพฯ
สยามพิวรรธน์น่าจะเป็น Case Study ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่คลาสสิกที่สุดเรื่องหนึ่งของประเทศไทย
คลิกไปอ่านเรื่องราวบนความทรงจำของ “คุณแป๋ม” ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ หรือ “คุณแป๋ม”
อาจจะเป็นเรื่องเล่าที่ยาวมาก ๆ
แต่ทุกถ้อยคำสะท้อนบทเรียนจากวิกฤติ สู่การพลิกเป็นโอกาส และทุกบรรทัดคือแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิด “ความสำเร็จ” ในการนำพาองค์กรก้าวข้ามทุกความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ

สยามพิวรรธน์ First Movers of Siam
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2503 ประเทศไทยมีผู้อำนวยการส่งเสริมการท่องเที่ยว (ก่อนจะยกระดับเป็น ททท.) คนแรกคือ พลเอกเฉลิมชัย จารุวัสตร์ ซึ่งเป็นคุณพ่อของคุณชฎาทิพ จูตระกูล
คุณแป๋มเล่าว่า คุณพ่อต้องการที่ดินเพื่อสร้างเมืองที่มีโรงแรม ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
แล้วท่านไปเจอที่ส่วนพระองค์ของสมเด็จย่า (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) บริเวณวังสระปทุม ใจกลางเมือง
สมเด็จย่าทรงมีพระดำรัสกับคุณพ่อว่า หากจะนำพื้นที่บ้านของท่านไปพัฒนา บริษัทนี้ต้องมีพันธกิจ 4 ข้อ
1. ต้องสร้าง “ต้นแบบการพัฒนาเมืองที่สมบูรณ์ที่สุด” ทุกโครงการต้องลงทุนเต็มกำลัง ไม่ใช่ทำแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ
2. เมื่อสร้างแล้วต้องดูแลรักษาและพัฒนาต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้เสื่อมถอย เป็นธุรกิจที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่สร้างเสร็จแล้วจบ
3. โครงการต้องเอื้อประโยชน์ต่อสังคมและชุมชน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนรอบข้าง ไม่ใช่แค่คิดถึงผลกำไรของตัวเอง
4. ต้องทำให้ประเทศไทยเป็นที่หนึ่งด้านการท่องเที่ยว ต้องสร้างสิ่งที่ทำให้คนทั้งโลกอยากมาเยือน เพราะธุรกิจของเรา
พันธกิจ 4 ข้อ ที่กลายเป็นรากฐานของการคิดและทำทุกเรื่องของสยามพิวรรธน์ตลอดระยะเวลา 67 ปีที่ผ่านมา
“ คุณพ่อเป็นคนตั้งชื่อ สยามขึ้นมา เพราะคำว่า สยาม คือชื่อที่คนทั้งโลกรู้จักประเทศไทย ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น Thailand เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึง สยาม’กับชาวต่างชาติ เขาจะเข้าใจทันทีว่านี่คือประเทศไทย”
หลังจากนั้น โรงแรม Siam Intercontinental ศูนย์การค้าแห่งแรก Siam Center และอาคารสำนักงาน Siam Tower ก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง พร้อมเตรียมเปิด Siam Discovery ในปี 2540
เมื่อพายุวิกฤติถาโถมเข้าใส่ลูกแล้วลูกเล่า
เดือนเมษายน ปี 2540 เพิ่งเปิดสยามดิสคัฟเวอรี่ ทั้งตึกเต็มไปด้วยแบรนด์นำเข้าที่กำลังขายดิบขายดี ก็เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง หนี้สินพันกว่าล้านก็ตามมา
เท่านั้นไม่พอ เมื่อโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสที่ล่าช้ามาหลายปี เริ่มเดินเครื่องต่อ โดยเข้ามาวางทางเดินรถและสถานีใหญ่หน้าสยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ รถติดมหาศาล และกลายเป็นทำเลทองของประเทศที่ไม่มีคนเดินทันที
ปี 2542 สยามพิวรรธน์ตัดสินใจเลิกกิจการโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตอล และสร้างโครงการใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเก่า “สยามพารากอน – ความภาคภูมิใจของกรุงเทพฯ”
“เป็นการลงทุนก่อสร้างท่ามกลางวิกฤต ทุกอย่างราคาถูกหมด เพราะไม่มีใครก่อสร้างอะไรเลย ผู้รับเหมาก็ว่างทั้งเมือง เพราะฉะนั้น สยามพารากอน 500,000 ตารางเมตร สามารถสร้างจบได้ภายใน 2 ปี 11 เดือน มหัศจรรย์มาก”
เป็นปรากฏการณ์ทางด้านการพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในเมืองไทย หลังจากถูกพายุเศรษฐกิจกระหน่ำซัดตั้งแต่ปี 2540 และเป็นศูนย์การค้าเดียวที่เปิดดำเนินการได้ทันกับเศรษฐกิจขาขึ้นของประเทศไทยเมื่อปี 2545
ทุกครั้งที่สยามพิวรรธน์สร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้เกิดจากการลองผิดลองถูก แต่เป็น Well Calculated Move ที่ศึกษาจากเทรนด์โลก แล้วแปลงให้เหมาะกับคนไทย พร้อมรักษามาตรฐานสากลเพื่อรองรับแบรนด์นานาชาติ
ตัวอย่างคือการปิด Siam Center แล้วกลับมาในฐานะ Ideaopolis เมืองแห่งไอเดีย (2013) ที่รวม Retail, Art, Culture และ Entertainment เข้าด้วยกัน กลายเป็นพื้นที่ให้แบรนด์ไทยและนานาชาติปล่อยไอเดียใหม่ ๆ และทดลองสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน
ต่อมาคือการรีโนเวต Siam Discovery ให้เป็น Hybrid Retail โดยเปลี่ยนโมเดลค่าเช่าเป็นแบบ Consignment Basis ทำให้รายได้เติบโตเกือบเท่าตัว พร้อมได้ First Data ของลูกค้า ซึ่งแตกต่างจากโมเดลห้างเดิมที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้
ทั้งหมดนี้เกิดจากการทำงานเชิงลึกกับร้านค้า ตั้งแต่สต๊อกสินค้า การจัดกิจกรรม ไปจนถึงการออกแบบประสบการณ์ร่วมกัน เพื่อสร้าง Prototype ที่ช่วย Manage Disruption และปูทางสู่การลงทุนในโครงการระดับโลก
แต่หลังจากนั้น สยามพิวรรธน์ต้องต่อสู้กับความผันผวนทางการเมืองมานานหลายปี เมื่อย่านสยามกลายเป็นสนามรบในเกือบทุกเหตุการณ์ประท้วงทางการเมือง

ไอคอนสยาม จุดเริ่มต้นแห่งตำนานริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
วันที่สยามพารากอนเปิดประตูต้อนรับผู้คน คุณพ่อของคุณแป๋มยืนตัดริบบิ้นเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะหันมาบอกกับลูกสาวว่า
“เธอทำโครงการศูนย์การค้าที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำเร็จแล้วนะ แต่ถ้าจะทำโครงการต่อไปให้สยามพิวรรธน์ ต้องไปอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา”
คุณพ่อย้ำว่า เธอสามารถสร้างศูนย์การค้าได้ทุกแห่งบนถนนสายใดก็ได้ แต่การพัฒนาเมืองริมเจ้าพระยาไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ และสิ่งที่เธอควรสร้างไม่ใช่เพียงศูนย์การค้าอีกแห่ง แต่ต้องเป็นการสร้างเมืองที่แตกต่างจากสยามพารากอน
“แป๋มบอกขอบพระคุณค่ะ ยกมือไหว้แล้วเดินหนีเลย เพราะว่า ณ วันนั้นรับไม่ไหว 500,000 ตารางเมตรที่เพิ่งเปิดจะรอดไหมยังไม่รู้”
จนกระทั่งเราพัฒนาเมืองในย่านสยามเสร็จสิ้น สยามพารากอน กลายเป็นจุดหมายสำคัญแห่งใหม่ของเมืองไทย
ความคิดในเรื่องการสร้าง “สยามใหม่” ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สายน้ำที่คนทั้งโลกรู้จัก ก็กลับมา
“แป๋มขับสปีดโบ๊ท วนหาที่ดินริมแม่น้ำอยู่นานกว่า 5 ปี ผ่านที่ตรงนี้เป็นประจำ มีคนบอกว่ามีนักลงทุนจากซาอุหรือสิงคโปร์ซื้อไปแล้ว แต่ก็แปลกใจว่าทำไมยังถูกทิ้งไว้เฉย ๆ เลยคิดในใจว่า ‘ก็คงติดปัญหาอะไรสักอย่าง’”
จนวันหนึ่ง ได้รับโทรศัพท์จากคุณบี “ทิพาพร เจียรวนนท์” บอกว่าจะได้ที่ 30 ไร่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จะทำแค่คอนโดมิเนียมก็ใหญ่เกินไป พอมาดูก็รู้เลยว่าสิ่งที่คุณพ่อพูดว่าให้สร้างเมือง ทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์บนที่ผืนนี้
เมื่อตัดสินใจที่จะทำ จัดการซื้อที่ดินเพิ่มเติมเรียบร้อย หลายคนพูดว่าสยามพิวรรธน์จะเจ๊งแน่นอน ถ้าข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปอีกฝั่ง ผู้ประกอบการหลายรายก็บอกว่า รักสยามพิวรรธน์นะคะ แต่ขอไม่ตามไป เพราะมันเป็นฝั่งธนฯ
“ทำอย่างไรที่จะทำให้ฝั่งธนฯ กลายเป็นกรุงเทพฯ และเป้าหมายสูงสุดคือทำค่าเช่าให้เท่ากับสยามพารากอน กลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายในตอนนั้น”
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 เป็นวันที่เปิดตัวไอคอนสยาม อภิมหาโปรเจ็กต์แรกของเมืองไทย หลังจากเกิดสงครามกลางเมือง สร้างความไม่มั่นใจให้กับนักลงทุนมาหลายปี
“ก่อนหน้านั้น แป๋มไปหาเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ท่านเป็นพันธมิตรของเรา พอบอกว่าขอใช้เงินพันล้านบาทในวันเปิดตัว ท่านบอกว่า คุณแป๋ม มันเหมือนสร้างตึกใหม่ทั้งตึกเลยนะ”
เลยบอกว่าขอเถอะ เพราะเราลงทุนไปถึงห้าหมื่นล้าน เพื่อให้องค์ประกอบทุกอย่างสมบูรณ์ที่สุด แล้ววันนี้เราทำได้แล้ว แต่เราต้องทำให้คนทั้งโลกหันกลับมามองประเทศไทย เพราะการเปิดตัวของไอคอนสยามจะกลายเป็นอีเวนต์ระดับโลก ที่สื่อทุกประเทศในเอเชียพร้อมใจกันนำเสนอ ราวกับการถ่ายทอดสดไปทั่วทั้งภูมิภาค
นี่คือพลังของวิสัยทัศน์ที่ทำให้ไอคอนสยามถูกจดจำในใจของผู้คน เพราะเมื่อผ่านพ้นวิกฤตโควิด ทราฟฟิกก็กลับมาอย่างมากมาย
“ทุกครั้งที่เจอวิกฤติ เราจะลงทุน ออกสินค้าใหม่ และทำการตลาดเชิงรุกเสมอ ผลคือทุกครั้งหลังวิกฤติ ตัวเลขของเราจะก้าวกระโดดขึ้นเป็นขั้น ๆ นี่คือรูปแบบการทำงานของเรา”

ได้เวลา พลิกโฉมฝั่งธนฯ
ระหว่างปี 2555–2557 สิ่งแรกที่เราทำคือ ลงพื้นที่พูดคุยกับ 13 ชุมชนรอบโครงการ เพื่อทำให้คนฝั่งธนฯ ภูมิใจในที่อยู่ของตัวเองว่า “ฉันอยู่ฝั่งธนฯ ไม่ได้แพ้กรุงเทพฯ” เราจึงต้องฟังเสียงชุมชน ไม่ทำลายวิถีชีวิต แต่เลือกที่จะ Preserve & Promote ให้แข็งแรงขึ้น ทุกองค์ประกอบของ ไอคอนสยาม จึงเกิดจากการมีส่วนร่วมของผู้คน และสะท้อนประโยชน์ที่พวกเขาต้องการจากโครงการนี้จริง ๆ
เรามั่นใจว่าถ้าไม่ทำให้ชุมชนอยู่ได้ ธุรกิจก็อยู่ไม่ได้
แล้วจะทำให้ฝั่งธนฯ เป็นกรุงเทพได้อย่างไร สยามพิวรรธน์ วางไว้ 4 หมุดหมายหลัก คือ
ดึง Luxury Brand มาลง เพราะเป็นผู้เช่าที่จ่ายแพงที่สุด ดึง International Brand มาทั้งหมด
รวมพลัง Brand ไทย ให้มาลงด้วย พร้อมทั้งตอบโจทย์ความต้องการในทุกเรื่องของลูกค้าฝั่งธนฯ และอีก 5 จังหวัดรอบ ๆ ที่มีศักยภาพสูง
ทั้งหมดนี้ต้องเสริมด้วย Landmark และ Attraction ให้นักท่องเที่ยวอยากมาอยู่ริมแม่น้ำ รวมทั้งสนับสนุนรถไฟฟ้า สร้างท่าเรือใหม่ และประกาศ “7 สิ่งมหัศจรรย์ของ ไอคอนสยาม”
เบื้องหลังการมาของ Apple ไอคอนสยาม
Apple ไอคอนสยาม เป็น Apple Store สาขาแรกในประเทศไทย
ตอนนั้น Apple ไม่เคยคิดจะเปิดสโตร์ในไทยเลย เพราะสถานการณ์การเมืองจากรัฐประหารทำให้ประเทศไม่อยู่ในเรดาร์ของพวกเขา Apple เลือกไปสิงคโปร์และอินโดนีเซียแทน เพราะมีประชากรนับร้อยล้านคน
สยามพิวรรธน์ จึงต้องทำการบ้านอย่างหนัก รวบรวมข้อมูลเชิงลึก ทั้งตัวเลขการเติบโตของอุตสาหกรรมค้าปลีก กำลังซื้อของคนไทย และเปรียบเทียบศักยภาพกับประเทศอาเซียนทั้งหมด เพื่อพิสูจน์ว่า “แม้ไทยมีรัฐประหาร แต่ภาคเอกชนยังคงแข็งแรงในการพัฒนาประเทศ”
การลงทุน 50,000 ล้านบาทเมื่อ 12 ปีก่อน คือการบอกโลกว่าคนไทยเชื่อมั่นในชาติ และพร้อมลงทุนมหาศาลเพื่ออนาคต
ก่อนเปิด ไอคอนสยาม มีคนท้ากันทั้งเมืองว่า “จะเปิดได้จริงหรือเปล่า?” เหลือเวลาเพียง 3 เดือน แต่สามารถ Manage ให้ผู้เช่าลงนามได้ถึง 90% ก่อนวันเปิด
“สัญญาระบุชัดเจนว่า ถ้า Occupancy ไม่ถึง 90% แป๋มจะต้องถูกปรับเดือนละ 100 ล้านบาท คุณเชื่อไหม แป๋มกล้าเซ็นทันที เพราะมั่นใจว่า ถ้า Apple เซ็นเมื่อไร ตัวเลข 90% จะปิดได้แน่นอน”
ไม่ใช่แค่สร้างภาพสวยหรือได้กล่องหรู แต่คือการตัดสินใจบนความเสี่ยงที่หนักหน่วง ขณะเดียวกัน Concept ที่ดีแค่ไหนก็ยังไม่พอ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องทำให้ได้จริงตามที่พูด
ปัจจุบัน Luxury Brand ที่ ไอคอนสยาม และ สยามพารากอน รวมกัน คิดเป็น 75% ของรายได้ทั้งพอร์ตในประเทศไทยของพวกเขา สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่า การสร้างความมั่นใจในโครงการ ต้องมีแผนที่ชัดเจน และที่สำคัญที่สุดคือ การลงมือตามแผนให้ได้จริง
7 ปี ไอคอนสยาม ฝ่าวิกฤติด้วยแผนล่วงหน้าและ Game Changer
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 นี้ ไอคอนสยาม จะครบรอบ 7 ปี พร้อม ๆ กับรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาทในปี 2563–2564 ในช่วงสถานการณ์โควิด เพิ่มขึ้นเป็น 3,747 ล้านบาทในปี 2565 และเป็น 5,385 ล้านบาทในปี 2567
ถึงแม้ตลอดปีที่ผ่านมาจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยยากจากภาวะกำลังซื้อถดถอย แต่ผู้ประกอบการก็ยังเชื่อมั่นและเลือกเปิดร้านใหม่ที่ ไอคอนสยาม รวมกว่า 51 แบรนด์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนราว 1,500 ล้านบาทในฝั่งธนบุรี
ภาพนี้สะท้อนให้เห็นชัดว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากการวางแผนล่วงหน้าหลายปี เพราะการเปลี่ยนแปลงในศูนย์การค้าไม่ใช่เรื่องฉับพลัน ทุกอย่างต้องอาศัยการจัดการอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นการดูสัญญาเช่าที่จะหมดอายุ การออกแบบแผนการปรับเปลี่ยน หรือการ “เปลี่ยนเกม” เพื่อให้ยืนหยัดท่ามกลางวิกฤติ
การบริหารจัดการที่ล่วงหน้าและรอบด้าน คือกุญแจสำคัญของการสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืน
“เป้าหมายที่วางไว้คือต้องทำค่าเช่าให้ได้เทียบเท่า สยามพารากอน วันนี้เราทำสำเร็จแล้ว พารากอน ยังมีพื้นที่ห้องเซ็ตกว่า 60% ซึ่งจะหมดอายุสัญญาในปี 2030 เมื่อถึงเวลานั้น สยามพิวรรธน์ จะได้ Blank Sheet เพื่อสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ไอคอนสยาม ได้อีก”
สยามพารากอน กำลังมี Story ของตัวเอง ที่เดินไปสู่การเติบโตเช่นกัน
“การทำธุรกิจไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล แต่อยู่ในมือเรา ไม่ว่าวิกฤติไหน ถ้าเราบริหารความเปลี่ยนแปลงได้ มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน และยึด Branding กับ Concept เดิมที่ไม่เคยเปลี่ยน พร้อมสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจและมีส่วนร่วมจริงจังได้ ธุรกิจนั้นก็จะผ่านวิกฤติและยังเติบโตได้เสมอ ”
นอกจาก Physical แล้ว เบื้องหลัง สยามพิวรรธน์ ยังมี One Siam Super App และระบบ CRM ที่เข้าถึงลูกค้าได้จริง Data Bank ของเราถูกสร้างตั้งแต่ปี 2021 และปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 2 ล้านราย แม้ไม่ใช่จำนวนมาก แต่เป็นฐานลูกค้าที่ทรงพลัง
คุณแป๋มย้ำอีกว่า สยามพิวรรธน์ มี Speed ในการตัดสินใจที่รวดเร็ว คณะกรรมการบริษัท Hands-on แต่ Empower Management เพราะทุกคนรู้ว่าหน้างานคือเรื่องใหญ่ ถ้าเราไม่ตัดสินใจเร็ว ไม่ปรับเปลี่ยนเร็ว และ Speed Up ในทุกช่วง เราจะแพ้

Next Chapter สยามพิวรรธน์
ทุกคนมักถามแป๋มว่า สยามพิวรรธน์ ไม่ได้สร้างศูนย์การค้าใหม่ พื้นที่ก็เท่าเดิม แล้วจะโตได้อย่างไร? คำตอบคือ เราไม่จำเป็นต้องเปิดศูนย์การค้าใหม่เสมอไป เพราะทำเลของเราคือย่านทองคำ Story ของ สยามพิวรรธน์ อยู่ที่ทุกครั้งที่เราลงมือทำ เราหาโอกาสสร้างรายได้เพิ่มได้เสมอ
ก้าวต่อไปของ สยามพิวรรธน์ ยังเหมือนเดิมไหม แป๋มบอกได้เลยว่า หลักคิดยังเหมือนเดิม แต่ Story ของเราจะถูกเล่าในคนละเวอร์ชัน
ถ้าถามว่าเราจะลงทุนในกรุงเทพฯ อีกไหม คำตอบคือต้องคิด เพราะว่า Prototype ของเราแบบนี้ ถ้าเปิดอีกในกรุงเทพคงไม่ง่าย ถ้าไปต่างจังหวัด แทบจะไม่มีจังหวัดไหนที่เราจะไปได้เลยที่จะ Fit แนวความคิดแบบนี้
แต่ถ้าเราจะไปจังหวัดไหนก็ตาม ต้องมีฐานลูกค้าที่ สยามพิวรรธน์ มีความเชี่ยวชาญที่จะจัดการได้ แล้วก็ต้องเป็นจังหวัดที่เราจะไปเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเมืองให้เขาได้มากกว่าที่คนท้องที่เขานึกฝันไว้
แม้แต่การไปต่างประเทศ จำเป็นต้องคิดรอบคอบ ว่าจะไปในรูปแบบไหน และประเทศใดที่เราสามารถ Add Value ให้เขาได้ เพราะการไปต่างประเทศไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่คือการทำงานร่วมกับรัฐบาลปลายทาง เหมือนที่เราทำงานกับทุกรัฐบาลในไทย
วันนี้ สิ่งที่ ไอคอนสยาม พิสูจน์แล้วคือ การเป็นตัวแทนที่จุดประกายว่าประเทศไทยยังมีความหวัง นักลงทุนยังเชื่อมั่น และผู้ประกอบการไทยยังสู้ต่อไปได้ แม้รัฐบาลจะมีข้อจำกัด แต่ทุกคนก็ยังมี Way ของตัวเอง
ไอคอนสยาม 2 กำลังจะเผยโฉม โปรเจกต์ใหม่ที่ทุกคนรอคอย อีกไม่นานเกินรอ ความยิ่งใหญ่ครั้งต่อไปจะถูกเปิดเผย
สุดท้าย ผู้นำหญิงแกร่งแห่ง สยามพิวรรธน์ สรุปว่า
“ทุกครั้งที่เจอวิกฤติ เรามีเป้าหมายเดียวคือ “ออกมาอย่างผู้ชนะ” เพราะการเดินออกจาก Crisis แบบเดิม ๆ ไม่มีวันชนะได้ Crisis จึงเป็นตัวกระตุ้นให้เรากล้าคิดใหม่ ทำใหม่ และสร้าง Game Changer ที่ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงเรา แต่ยังสร้าง Shared Value ขยายประโยชน์สู่ทั้งวงการ”
คำว่า Game Changer ของ สยามพิวรรธน์ ไม่ใช่แค่การบริหารความเปลี่ยนแปลง แต่คือทุกการเปลี่ยนต้อง “สำเร็จ” ทุกครั้งที่สร้าง Prototype ใหม่ ค่าเช่าเพิ่มขึ้นทันที 25% และเมื่อ Renovate ครั้งใหญ่ บางตึกถึงขั้นปิดทั้งปี ค่าเช่าก็พุ่งขึ้นกว่า 70% เพราะทุกการลงทุนเป็นการวางแผนมาอย่างดี มีเหตุผล และคำนวณไว้ล่วงหน้า
สำหรับ สยามพิวรรธน์ วิกฤติไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างชัยชนะครั้งใหม่เสมอ
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
