หากจะมีประเทศไหนที่ความเครียดและซึมเศร้ากลายเป็นปัญหาใหญ่และส่งผลต่อประชากรมากที่สุด จนนำมาสู่การแก้ปัญหาทั้งจากภาครัฐ และจากฝั่งประชาชนเองคงเป็นเกาหลีใต้ 

ล่าสุดเรื่องนี้ยังสะท้อนออกมาผ่านเทรนด์หนังสือขายดี พร้อมข้อมูลน่าสนใจที่ว่า คนที่ซื้อหนังสือประเภทนี้ แค่อยากเยียวยาตัวเองแบบง่ายและไว แม้มีเสียงวิจารณ์ว่า เป็นแค่หนังสือเล่มบางๆ ที่อาจไม่ได้แก้ปัญหาได้อย่างจริงจัง 

เมื่อปี 2018 วงการหนังสือเกาหลีใต้ได้พบกับปรากฏการณ์ใหม่จากหนังสือ “I Want to Die but I Want to Eat Tteokbokki” (อยากตาย แต่ก็อยากกินต็อกบกกี) ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างบันทึกความทรงจำและบทสนทนาบำบัด ที่อ้างอิงจากประสบการณ์จริงของผู้เขียนซึ่งป่วยเป็นโรคซึมเศร้า 

บรรดาร้านหนังสือจัดให้มันอยู่ในหมวด เรียงความเกาหลีฮีลใจ และมันก็โดดเด่นขึ้นมาทันที เพราะนำเสนอเรื่องราวส่วนตัวอย่างจริงใจ และเปิดเผยความเปราะบางของคนชาวเกาหลีใต้แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน 

ผลจากการที่หนังสือเล่มนี้ขายดี ทำให้อีกหลายปีต่อมา เทรนด์หนังสือเรียงความเกาหลีที่มีเนื้อหาฮีลใจและอ่านง่าย กลายเป็นแนวหนังสือที่ขายดี 

ลักษณะร่วมกันของหนังสือประเภทนี้คือ ปกสีพาสเทลที่มีข้อความคล้ายๆ กันวนซ้ำไปมา และชื่อหนังสือเหมือนเป็นคำพูดลอยๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความเครียดและซึมเศร้า 

เช่น “แค่มีตัวตนอยู่ก็ดีพอแล้ว” “การหยุดนิ่งก็คือการก้าวไปข้างหน้า” และ “ความสุขอยู่ในวันธรรมดาๆ” 

หนังสือประเภทนี้ยังประกอบด้วยย่อหน้าหรือข้อความที่ไม่ยาวนัก ออกแบบมาให้อ่านผ่านๆ ได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากหนังสือบันทึกความทรงจำที่อิงจากประสบการณ์ชีวิต หนังสือแนวนี้ไม่ได้เน้นการเล่าเรื่อง แต่ทำหน้าที่เหมือนเป็นคอลเลกชันรวมประโยคสวยๆ ที่เหมาะแก่การนำไปอ้างอิงต่อ 

สื่อเกาหลีใต้รายงานว่า อันดับหนังสือขายดีรายเดือนของร้านหนังสือยักษ์ใหญ่ในเกาหลี ทั้ง Kyobo, Yes24 และ Aladin พบว่าใน 10 อันดับแรก มักจะมีหนังสือแนวฮีลใจติดอันดับอยู่เสมออย่างน้อย 2-3 เล่ม 

ขณะที่รายงานประจำปีของ Yes24 ระบุว่า ในปี 2023 มีหนังสือแนวนี้ออกใหม่กว่า 4,200 ปก เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านั้น และยอดขายก็เติบโตขึ้นกว่า 30% ตั้งแต่ปี 2019 ตรงกันข้ามกับหมวดหมู่อื่นๆ เช่น สารคดี หรือวรรณกรรมแปล ที่กลับอยู่ในช่วงซบเซา 

บรรณาธิการอาวุโสของสำนักพิมพ์ใหญ่แห่งหนึ่งในเกาหลีใต้วิเคราะห์ว่า มันเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับสำนักพิมพ์ เพราะผู้แต่งไม่จำเป็นต้องมีตัวละคร การค้นคว้าข้อมูล หรือโครงเรื่อง สิ่งสำคัญคือประโยคนั้นดูดีเวลาถูกขีดเส้นใต้ด้วยปากกาไฮไลต์หรือเปล่า 

นี่ทำให้ทีมการตลาดถึงกับถามตรงๆ เลยว่า ‘ประโยคนี้ถ่ายรูปลงอินสตาแกรมสวยไหม และเอาไปโปรโมตหนังสือได้ไหม?’ จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

สำหรับผู้อ่าน เสน่ห์ของหนังสือแนวนี้ไม่ได้อยู่ที่คุณภาพทางวรรณกรรม แต่อยู่ที่สิ่งที่แสดงออกมาในเชิงสัญลักษณ์เมื่อซื้อหนังสือแนวนี้แต่ละเล่ม

เภสัชกรวัย 34 ปีที่ซื้อหนังสือแนวนี้เก็บไว้หลายเล่ม กล่าวว่า ไม่ได้คาดหวังถึงขั้นจะเป็นเล่มที่เปลี่ยนชีวิต เพราะรู้ว่าคำพูดในนั้นมันกว้างๆ แต่ตอนที่ซื้อมา มันให้ความรู้สึกเหมือนปล่อยให้ตัวเองได้พักผ่อน ต่อให้อ่านแค่ไม่กี่หน้า แต่มันก็สำคัญมาก

ในมุมมองของนักสังคมวิทยา การกระทำนี้มีความหมายอย่างยิ่งในสังคมเกาหลีใต้ เพราะหนังสือยังคงเป็นสิ่งที่ดูจริงจังและน่าเชื่อถือในเกาหลีใต้ 

ดังนั้นเมื่อคนยอมจ่ายเงินราว 16,000 วอน (ประมาณ 420 บาท) เพื่อซื้อหนังสือประเภทนี้สักเล่ม พวกเขาไม่ได้กำลังซื้อแค่ประโยคสวยๆ แต่กำลังซื้อสิทธิ์ที่จะบอกกับตัวเอง และให้สังคมรู้ว่า ฉันกำลังหันกลับมาดูแลตัวเอง ซึ่งในภาพใหญ่ก็คือการสะท้อนว่า เกาหลีใต้ยังเป็นประเทศที่มีปัญหาความเครียดและโรคซึมเศร้านั่นเอง 

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้อ่านถึงไม่แคร์ว่าจะถูกหลอก ทั้งที่รู้ว่าเนื้อหาข้างในอาจจะไม่ได้ลึกซึ้งอะไร เพราะสิ่งที่ต้องการคือข้อความปลอบประโลมในหนังสือเท่านั้น และการซื้อซึ่งมีราคาแพงพอที่จะทำให้รู้สึกว่ามีคุณค่า คือรูปแบบหนึ่งของการดูแลตัวเองที่สังคมยอมรับ 

อย่างไรก็ตาม นักจิตวิทยามองว่าเทรนด์นี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยศาสตราจารย์ อีดงกวี ด้านจิตวิทยาคลินิกจากมหาวิทยาลัยยอนเซ กล่าวว่า เวลาที่คนเราเครียดจัดๆ พวกเขาไม่ได้ต้องการบทวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง แต่ต้องการคำพูดที่ซึมซับได้ในพริบตา เหมือนเป็นบทสวดภาวนาซึ่งหนังสือประเภทที่กำลังขายดีนี้จะช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยว เครียดหรืออาการซึมเศร้าได้ 

แต่การปลอบโยนแบบเร่งด่วนต้องไม่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการฟื้นฟูอย่างแท้จริง เพราะอันตรายจะเกิดขึ้นเมื่อผู้คนคาดหวังให้ประโยคเหล่านี้ทำหน้าที่แทนการบำบัด 

ทว่าก็ไม่ใช่ผู้อ่านทุกคนที่จะเห็นดีเห็นงามไปกับกระแสนี้ โดยยุน นักศึกษาปริญญาโทวัย 26 ปี ด้านวรรณคดียุโรป กล่าวอย่างเห็นภาพว่า มันเหมือนอาหารฟาสต์ฟู้ดสำหรับสมอง กลืนง่าย กินปุ๊บรู้รสทันที และถูกนำเสนอว่ามีประโยชน์ 

ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้ให้พลังงานอะไรเลย โดยแม้ไม่อยากวิจารณ์คนที่ซื้อหนังสือประเภทนี้ แต่ก็สงสัยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสิ่งนี้กลายเป็นอาหารหลักทางความคิดของเราเข้าสักวัน 

ฝั่งสำนักพิมพ์เองก็ยอมรับถึงความต้องการของตลาดอย่างเปิดเผย โดยบรรณาธิการอาวุโสของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งกล่าวทิ้งท้ายถึงเทรนด์หนังสือ เรียงความเกาหลีฮีลใจ ไว้ว่า มันเป็นหนังสือประเภทที่ต่อยอดง่ายที่สุด อินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามสองแสนคนในอินสตาแกรมสามารถกลายเป็นนักเขียนได้ในเวลาไม่กี่เดือน ตัวหนังสือไม่จำเป็นต้องลึกซึ้งอะไรเลย เพราะกลุ่มผู้ติดตามของพวกเขาก็คือตลาดที่พร้อมจะซื้ออยู่แล้ว 

สำหรับปัญหาความเครียด และซึมเศร้า ในเกาหลีใต้ ถือว่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จนเมื่อผู้คนไม่มีทางออกและคนให้คำปรึกษา ทำให้เกิดความเหงากัดกินใจและการตายไปอย่างโดดเดี่ยว ที่เรียกในภาษาเกาหลีว่า โกด็อกซา 

ฝ่ายปกครองตามเมืองต่างๆ ของเกาหลีใต้ก็ไม่นิ่งนอนใจต่อปัญหานี้ โดยเมื่อปี 2024 กรุงโซล ได้ทุ่มงบ 327 ล้านดอลลาร์ (ราว 11,000 ล้านบาท) เพื่อแก้ปัญหาโกด็อกซา ซึ่งหนึ่งสิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมแล้วคือ ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาความเครียด ความเหงา และซึมเศร้าที่มาในรูปแบบร้านสะดวกซื้อ 4 แห่งในเมือง ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้น / koreaherald 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer