ไทยวิวัฒน์ 75 ปี จากรากฐานแห่งความเชื่อมั่น สู่ผู้นำ InsurTech ที่ คิดเผื่อเพื่อทุกชีวิต
ธุรกิจประกันภัยเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “ความเชื่อมั่น” มากที่สุด เพราะสิ่งที่ซื้อไม่ใช่แค่กรมธรรม์ แต่คือความมั่นใจว่าในวันที่ไม่คาดคิดจะมีใครสักคนยืนอยู่ข้าง ๆ การจะยืนหยัดได้ยาวนานจึงไม่อาจพึ่งเพียงชื่อเสียงหรือทุนจดทะเบียน หากต้องอาศัยทั้งความมั่นคงที่พิสูจน์ได้ ความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง และการปรับตัวอย่างต่อเนื่องให้เข้ากับยุคสมัย
วาระครบรอบ 75 ปีของ “ประกันภัยไทยวิวัฒน์” ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์เฉลิมฉลอง หากคือหลักไมล์ที่ยืนยันความมั่นคงและความสามารถในการปรับตัวอย่างสม่ำเสมอในอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
วันนี้ Marketeer มีโอกาสพูดคุยกับ คุณเทพพันธ์ อัศวะธนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ ประกันภัยไทยวิวัฒน์ และหนึ่งในผู้นำคลื่น InsurTech ของไทย ผู้ผลักดันให้เทคโนโลยีอย่าง IoT, AI และ DATA เข้ามาเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
ซึ่งจุดร่วมของทุกนวัตกรรมไม่ใช่คำว่า “ล้ำ” แต่คือคำว่า “ใส่ใจคน” จาก ประกันรถเปิดปิด (Pay-Per-Use Car Insurance) ที่ผนวกเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ IoT ไปจนถึง ประกันสุขภาพ Active Health ที่นำเทคโนโลยี Wearables มาปรับใช้เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่า และการใช้ AI + Data มาเป็นกลไกขับเคลื่อนทุกมิติ ทั้งการออกผลิตภัณฑ์ การตั้งราคา การให้บริการ ไปจนถึงการดูแลลูกค้าหลังการขาย ตอกย้ำความเป็น “Tech-driven Insurer” ของไทยวิวัฒน์ได้อย่างสมบูรณ์
75 ปีบนฐานของความเชื่อมั่น
ในธุรกิจที่ผู้บริโภค “ฝากความเชื่อมั่น” อย่างประกันภัยไทยวิวัฒน์เติบโตมาพร้อมความเปลี่ยนแปลงของประเทศ ตั้งแต่ยุคที่เริ่มนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในงานรับประกันภัย จนถึงการประยุกต์ใช้ระบบระบุตำแหน่งและโครงสร้างข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยง ทั้งหมดสะท้อนแบบแผนเดียวกันคือ “มองเห็นคลื่นก่อนเสมอ”
ผนวกกับการยืนหยัดบน DNA ที่องค์กรยึดมั่นมาตลอด นั่นคือ “Initiate – Add Value – Execute” หรือความกล้าที่จะริเริ่มสิ่งใหม่ ความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มคุณค่า และวินัยที่จะทำให้ทุกอย่างสำเร็จจริง หลักคิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำสวยหรู แต่ฝังอยู่ในทุกช่วงเวลาของการเดินทาง ตั้งแต่ยุคบุกเบิกคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในงานรับประกันภัย ยุคที่เริ่มนำข้อมูลตำแหน่งและพฤติกรรมมาช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยง ไปจนถึงยุคปัจจุบันที่ AI และ Data ถูกบูรณาการในทุกห่วงโซ่คุณค่า
“Initiate (การริเริ่ม) ทำให้ไทยวิวัฒน์กล้าที่จะเป็นเจ้าแรก ๆ ที่ลองทำสิ่งใหม่ แม้ยังไม่มีใครในอุตสาหกรรมกล้าเดิน การ Add Value (เพิ่มคุณค่า) คือการไม่หยุดที่แค่นวัตกรรม แต่ต้องตอบโจทย์และสร้างประโยชน์จริงกับลูกค้าและสังคม ส่วน Execute (ทำให้สำเร็จจริง) คือหัวใจที่ทำให้ทุกแนวคิดไม่ค้างอยู่บนกระดาษ แต่ถูกส่งมอบเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่จับต้องได้
สิ่งเหล่านี้ฉายภาพองค์กรที่ ‘เห็นคลื่นก่อน’ และปรับใบเรือได้ทันเวลา ที่สำคัญยิ่งกว่าเครื่องมือหรือเทคโนโลยี คือเข็มทิศเดียวกันทั้งบริษัท คือสโลแกน ‘คิดเผื่อเพื่อทุกชีวิต’ ที่ทำให้ทุกการตัดสินใจกลับไปผูกกับชีวิตจริงของคนไทยเสมอ และเมื่อถึงช่วงเวลาท้าทาย เช่นกระแส ‘เจอ จ่าย จบ’ ในช่วงโควิด-19 ไทยวิวัฒน์ก็เลือกยืนบนวินัยเชิงข้อมูลและหลักการประกันภัย ไม่ตามเทรนด์ที่ไม่มี Data รองรับเพียงพอ การตัดสินใจเช่นนั้นไม่เพียงรักษาความมั่นคงของบริษัท แต่ยังคงไว้ซึ่งความเชื่อมั่นระยะยาวของผู้เอาประกันภัยทุกคน”

“Tech-Driven Insurer” ที่ยังวาง “คน” ไว้เป็นศูนย์กลาง
ด้วยทีม เทคโนโลยี In-house และ Data Team ที่สร้างเครื่องมือเอง ตั้งแต่แอปพลิเคชันไปจนถึง Back-office และยกระดับฐานข้อมูลเป็น Data Lake พร้อม Dashboard แบบ Real-time, Predictive Model, CLV และ Alerting ทำให้องค์กรตัดสินใจได้เร็วขึ้น แม่นขึ้น และ Proactive ต่อความต้องการลูกค้าได้จริง
วันนี้ไทยวิวัฒน์ไม่ใช่เพียงบริษัทประกันภัย แต่ยกระดับสู่การเป็น “Tech-Driven Insurer” อย่างแท้จริง ด้วยทีมพัฒนาเทคโนโลยี In-house สร้างทั้งแอป ระบบหลังบ้าน และคลังข้อมูลกลางที่ยกระดับเป็น Data Lake เพื่อให้การตัดสินใจเป็นแบบเรียลไทม์และคาดการณ์อนาคตได้แม่นยำขึ้น โมเดลอย่างการทำนายมูลค่าตลอดอายุลูกค้า การตั้งสัญญาณเตือนเชิงรุก และ Dashboard ที่กดดูได้ทันที Real-time ทำให้ทีมงานใช้เวลาน้อยลงกับงานตามหาและประกอบข้อมูล แต่มีเวลามากขึ้นกับการตัดสินใจที่ส่งผลเชิงบวกต่อประสบการณ์ของลูกค้าโดยตรง
นวัตกรรมถูกเชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงอย่างลงตัว ภาพสะท้อนให้เห็นผ่านผลิตภัณฑ์ไฮไลท์อย่าง “ประกันรถเปิดปิด” ที่ไม่ได้เกิดจากการหยิบเทคโนโลยีมาใส่ผลิตภัณฑ์ แต่เกิดจากการสำรวจเส้นทางชีวิตคนทำงาน พ่อแม่ที่ต้องรับ–ส่งลูก หรือผู้ใช้รถเป็นครั้งคราว แล้วค่อยย้อนกลับมาถามว่า ‘จะคิดราคาตามการใช้งานจริงได้ไหม’
จากนั้นจึงค่อยออกแบบและพัฒนาระบบโดยใช้เทคโนโลยี IoT ที่เรียกว่าอุปกรณ์ “TVI Connect” มาช่วย เปิด-ปิด ประกันให้อัตโนมัติเพื่อนับชั่วโมงการใช้งานรถตามที่ขับจริง เมื่อสตาร์ทรถประกันจะเปิดและเริ่มนับเวลาการใช้งานรถ เมื่อดับเครื่องยนต์ประกันจะปิดและหยุดนับเวลาการใช้รถให้อัตโนมัติ ซึ่งใช้ร่วมกับ แอปพลิเคชัน Thaivivat ที่ให้ลูกค้าทำเพียงเปิดแอปเพื่อตรวจสอบระเวลาการใช้งาน การออกแบบเช่นนี้ทำให้คำว่า “แฟร์” กลายเป็นคุณค่าที่สัมผัสได้ ไม่ใช่คำโฆษณา
ในมิติสุขภาพ ไทยวิวัฒน์ขยับจากการคุ้มครองเมื่อเจ็บป่วย ไปสู่การสร้างแรงจูงใจให้ดูแลตัวเองผ่านข้อมูลจาก Wearables พฤติกรรมดีถูกแปลงเป็นเบี้ยที่เหมาะสม ลูกค้าจึงรู้สึกว่าบริษัท “เห็นตัวตน” มากกว่า “เหมารวม”
และเมื่อแบรนด์ตั้งใจจะอยู่ในชีวิตประจำวันจริง การตลาดและช่องทางจัดจำหน่ายก็ถูกออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่การจองที่จอดรถกับห้างพันธมิตรผ่านแอป การรับพอยต์จากการดูหนังไปลดเบี้ย ไปจนถึงการซื้อความคุ้มครองเฉพาะทางผ่านวอลเล็ทยอดนิยม ประกันภัยจึงค่อย ๆ เปลี่ยนบทจาก “เรื่องไกลตัว” เป็น “บริการหลังบ้านของทุกวัน”
อีกด้านหนึ่ง AI ไม่ได้หยุดอยู่แค่คำพูดสวย ๆ แต่ลงลึกในห้องปฏิบัติการจริงผ่านการลงทุนใน Tech-Startup อย่าง “MARS” (Motor AI Recognition Solution) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะการนำ AI มาปรับใช้ในธุรกิจประกันเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด
อาทิเช่น MARS Inspect การตรวจสภาพรถยนต์แบบเรียลไทม์ ที่สร้างมาตรฐานความแม่นยำ ระดับสากล ในการตรวจจับความเสียหายของรถยนต์ ช่วยให้การทำประกันภัยรวดเร็วขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับการทำประกันภัยในรูปแบบปกติ ระบบ MARS Garage เพื่อประเมินความเสียหายจากอุบัติเหตุ ซึ่งปัจจุบันได้ให้อู่ในสัญญา นำมาใช้ในการประเมินค่าซ่อมสำหรับรถประกัน ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง
รวมถึงระบบการเคลมประกันด้วยตัวเองผ่าน Application นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาอุปกรณ์ TVI Connect อุปกรณ์ เปิด-ปิดประกันอัตโนมัติ ที่ใช้ร่วมกับแอปพลิเคชัน Thaivivat ตอบโจทย์การบริการประกันภัยในแนว Personalized Insurance เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่
“MARS คือโมเดลที่พลิกโฉมประสบการณ์ประกันภัยรถยนต์ให้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ตั้งแต่ขั้นตอนก่อนทำประกันที่ลูกค้าเพียงถ่ายภาพรถ 4 มุม ก็สามารถให้ระบบ AI วิเคราะห์สภาพรถและออกผลได้ภายใน 5–10 นาที แทนที่จะต้องรอเจ้าหน้าที่ไปตรวจที่บ้านซึ่งกินเวลาเป็นสัปดาห์
ไปจนถึงขั้นตอนการเคลมที่ AI เข้ามาช่วยประเมินความเสียหายแบบเรียลไทม์ วิเคราะห์ได้ทันทีว่าต้องซ่อม เปลี่ยน หรือใช้ชิ้นส่วนใด ข้อมูลจากภาพถ่าย แสง และมุมที่หลากหลายถูกนำมาสร้างเป็นโมเดลที่แม่นยำขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ลูกค้าสามารถเดินเรื่องได้ง่ายและรวดเร็ว ส่งต่อไปยังศูนย์ซ่อมได้ทันที นี่คือตัวอย่างการนำเทคโนโลยี AI มายกระดับทั้งผลิตภัณฑ์และบริการของไทยวิวัฒน์ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริงและสร้างคุณค่าที่จับต้องได้ให้กับลูกค้า”
Empathy x Data เมื่อ “คน” คือต้นทุนที่สำคัญที่สุด
“เป้าหมายของการนำเทคโนโลยีมาใช้ขับเคลื่อนองค์กร ไม่ใช่การแทนที่คน แต่คือการคืนเวลาให้คนไปทำงานที่มีความหมายกับลูกค้ามากขึ้น”
คุณเทพพันธ์กล่าวอย่างจริงจังถึงแก่นคิดการบริหารในยุคใหม่ สำหรับไทยวิวัฒน์แล้ว “คน” คือทุนที่สำคัญที่สุด ทั้งลูกค้า พนักงาน พาร์ตเนอร์ และสังคม จึงออกแบบทั้ง “ระบบ” และ “พื้นที่” เพื่อให้ทุกคนเติบโตไปพร้อมกับองค์กร
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนวัฒนธรรมแห่ง “การร่วมมือกัน” ที่ไทยวิวัฒน์เลือกใช้ Empathy และ Data เป็นภาษากลาง คนต่างรุ่นสามารถคุยกันด้วยโจทย์เดียวกัน เริ่มจากความต้องการจริงของลูกค้า ออกแบบต้นแบบ ทดลองด้วยแนวทาง MVP กล้าลอง กล้าเปิดตัว และเรียนรู้จากผลลัพธ์อย่างมีวินัย หากพลาดก็เรียนรู้เร็ว หากสำเร็จก็ขยายผลเร็ว วงจรเช่นนี้ทำให้นวัตกรรมไม่ใช่เพียงโครงการ แต่กลายเป็นวิถีการทำงานขององค์กร
ในอีกมิติหนึ่ง ไทยวิวัฒน์ยังลงทุนกับ “ความเป็นคน” อย่างเป็นระบบ ผ่าน TVI Academy และคลับเรียนรู้ที่จับต้องได้ ตั้งแต่ AI, Automation, Design Thinking ไปจนถึงการตัดสินใจเชิงเหตุผล เพื่อให้พนักงานได้ฝึกฝน แลกเปลี่ยน และเติบโตในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คำว่า “People-first” จึงไม่ใช่สโลแกนสวยหรู แต่เป็นโครงสร้างจริงที่เกิดขึ้นทุกวัน
และเมื่อมองออกไปนอกองค์กร ไทยวิวัฒน์เดินหน้าเปลี่ยนภาพรับรู้ของสังคมต่อธุรกิจประกันภัย จากที่เคยถูกมองว่าเป็น “เกมแพ้–ชนะ” ให้กลายเป็น “ระบบที่ทุกฝ่ายสามารถชนะร่วมกันได้” โครงการ Thaivivat Caring Forward คิดเผื่อ เพื่อสังคม คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจน หากลูกค้าขับขี่อย่างรับผิดชอบและไม่มีเคลมที่เป็นฝ่ายผิด บริษัทจะนำเงินส่วนหนึ่งไปบริจาคในนามลูกค้าให้แก่มูลนิธิที่เขาเลือก พร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี การประกันภัยจึงไม่ได้เป็นเพียงค่าใช้จ่ายเพื่อรองรับความเสี่ยง แต่กลายเป็นพลังที่ช่วยหล่อเลี้ยงสังคมให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน
“เราพยายามเปลี่ยนมุมมองที่ว่า ‘ประกัน = Zero-sum game’ ให้เป็นการ ‘ออกแบบแรงจูงใจทางสังคม’ เริ่มจากพอร์ตหลักอย่างรถยนต์ หากปีนั้นไม่มีเคลมที่เป็นฝ่ายผิด บริษัทจะ ‘สมทบเงินบริจาค’ ในนามลูกค้าไปยังมูลนิธิที่ลูกค้าเลือก และยังนำไปลดหย่อนภาษีได้ ลูกค้าได้ประโยชน์ ได้ช่วยสังคม และขับขี่ระมัดระวังขึ้น เป็นวงจรคุณค่าที่ทุกฝ่ายชนะร่วมกัน”

สู่วิสัยทัศน์อนาคต เปิดตลาดใหม่เพื่อ “คนที่ยังไม่มีประกัน”
เมื่อพูดถึงทิศทางในอนาคตของธุรกิจประกันในทศวรรษหน้า คุณเทพพันธ์ได้วิเคราะห์ว่าอัตราการเข้าถึงประกันภัยของไทยเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจยังต่ำมาก โดยเฉพาะฝั่งวินาศภัย ซึ่งสะท้อนโอกาสเชิงโครงสร้างที่ยังเปิดกว้าง
ไทยวิวัฒน์จึงเลือกไม่ลงสนาม “แย่งส่วนแบ่งในกลุ่มเดิม” แต่จะ “เปิดตลาดใหม่” ให้คนส่วนใหญ่ “เข้าถึงความคุ้มครองที่ยุติธรรม” เป็นการสร้าง “ทางเข้าที่แฟร์” ให้ทุกคนได้เริ่มต้นเลือกการคุ้มครองความเสี่ยงในระดับที่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งจะเดินเกมครอบคลุมทุกมิติ
- ฝั่งรถยนต์ : นำเสนอ ประกันรถเปิดปิด ที่แฟร์กับรูปแบบการใช้รถจริง ให้กับทุกคนที่ยังไม่ได้ทำประกันภาคสมัครใจ
- ฝั่งสุขภาพ : เน้นคนรุ่นใหม่และคนรักสุขภาพ ใช้ “ข้อมูลพฤติกรรมจริง” เป็นบัตรผ่านไปสู่เบี้ยที่เหมาะสม และสร้างแรงจูงใจให้ “ดูแลตัวเอง” ต่อเนื่อง
- ฝั่งการตลาด : เดินเกม Lifestyle & Music Marketing เข้าหาคนรุ่นใหม่แบบไม่ยัดเยียดแบรนด์ สร้างการรับรู้–ความผูกพันระยะยาว รวมถึงการสื่อสารให้การประกันภัยเป็นเรื่องเข้าใจง่าย
- ฝั่งระบบนิเวศ (Ecosystem) : เชื่อมโยงพันธมิตรค้าปลีก ทั้ง ความบันเทิง Fin-Tech และโลจิสติกส์ เข้าด้วยกัน ให้ “ประกันภัย” กลายเป็นบริการหลังบ้านของทุก Journeys ถักทอประกันภัยให้กลายเป็นบริการขั้นพื้นฐานของวิถีชีวิตสมัยใหม่
ท้ายที่สุด เป้าหมายของทศวรรษหน้าไม่ใช่แค่ยอดเบี้ยที่เติบโต หากคือความ “ยืดหยุ่นทางการเงิน” ของครัวเรือนไทย เมื่อคนวางแผนความเสี่ยงได้ดี วิกฤตกระทบชีวิตน้อยลง เศรษฐกิจฐานรากก็แข็งแรงขึ้น และประเทศเดินหน้าอย่างยั่งยืน ประกันภัยจึงมีสถานะเป็นโครงสร้างพื้นฐานอีกชิ้นหนึ่งของสังคมที่ดี
เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ “คิดเผื่อเพื่อทุกชีวิต”
ภาพใหญ่ของไทยวิวัฒน์ในวัย 75 ปีคือ “แบรนด์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี จากความเข้าใจมนุษย์อย่างลึกซึ้ง” ในบริบทของผู้นำนวัตกรรมประกันภัยที่ยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง ที่พร้อมเดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยภายใต้วิสัยทัศน์ “คิดเผื่อเพื่อทุกชีวิต”
นี่คือ InsurTech ที่ขับเคลื่อนด้วยคน และ People-first Leadership ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม วาระ 75 ปี จึงไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลอง แต่คือ “สัญญาใหม่” ของไทยวิวัฒน์ที่จะยังคง “คิดเผื่อ” และ “ทำจริง” เพื่อให้การคุ้มครองเข้าถึงได้ ยุติธรรมขึ้น และเติบโตไปพร้อมสังคมไทยอย่างยั่งยืน
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
