ตลาดร้านสะดวกซัก กำลังต่อสู้กันอย่างเข้มข้น ขณะที่ Otteri ถูกจดจำเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภค (Marketeer No.1 Brand Thailand) ด้วยจำนวนสาขาทะลุ 1,250 สาขา และการตลาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด WashXpress ที่มีจำนวนสาขาที่เป็นเจ้าของและบริหารเอง 496 สาขา กำลังจะเข้าตลาดหุ้น mai

อ่าน : WASH เคาะราคา IPO หุ้นละ 7.50 บาท เปิดจอง 24 และ 27–28 ต.ค.นี้ มุ่งขยายกว่า 160 สาขา

ทั้งสองแบรนด์มีโมเดลธุรกิจที่แตกต่างอย่างชัดเจน

🔴 1.ขนาดตลาด & แนวโน้ม

ในปี 2563 ตลาดร้านสะดวกซักมีมูลค่าราว 3,000 ล้านบาท ต่อมาเติบโตเป็น 7,000 ล้านบาท ในปี 2564

ในปี 2565 ประเมินว่ามูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท

ปัจจุบัน (หรือคาดการณ์ปีใกล้เคียง) หลายแหล่งประเมินว่าตลาดแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักอาจมีมูลค่าถึง 16,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตปีละ 20–30%

ทั้งนี้ตลาดยังขยายได้อีกมาก โดยเฉพาะในเมืองรอง ชานเมือง และพื้นที่ชุมชน เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ผู้คนมองหาความสะดวกสบาย

ดังนั้น ภาพรวมนับว่า “ตลาดกำลังเติบโตอย่างเร่งตัว” และยังมีโอกาสขยายตัวต่อไป

🔴 2.ประเภทของร้านสะดวกซัก

ในไทย เรามักพบรูปแบบร้านสะดวกซัก ดังต่อไปนี้

ประเภท ลักษณะหลัก ข้อดี / จุดเด่น ความท้าทาย
Self-service / Unattended (ไม่มีพนักงานประจำ) ลูกค้านำผ้ามาซัก-อบเอง ด้วยเครื่องซักและอบที่ตั้งไว้ในร้าน, ใช้ระบบหยอดเหรียญ / QR / แอป ลดต้นทุนแรงงาน, เปิด 24 ชม. ได้ ต้องดูแลการซ่อมบำรุง, ปัญหาเครื่องเสีย, การชำระเงิน /ทุจริต
แฟรนไชส์ / เครือข่าย เจ้าของแฟรนไชส์ให้ระบบ /แบรนด์ /มาตรฐาน /สนับสนุนแก้ปัญหา ขยายได้เร็ว, ได้ระบบช่วยจัดการ, ได้ชื่อเสียงแบรนด์ ค่าสิทธิ์, ต้องรักษามาตรฐานสาขา, การเลือกทำเล
บริการครบวงจร / ไฮบริด มีบริการซัก-อบ, รับฝาก-พับ, ส่งเสริมบริการเสริม เช่น น้ำยาซัก ผงซักฟอก ตู้น้ำ เครื่องดื่ม เพิ่มรายได้ต่อคน, ลูกค้ามีทางเลือก ต้องบริหารหลายรูปแบบ, ต้นทุนสูงขึ้น
ร้านสะดวกซักแบบพรีเมียม / สมาร์ท ใช้เทคโนโลยี IoT, ระบบตรวจสอบเครื่อง, การแจ้งเตือนผ่านแอป, ระบบจ่ายเงินดิจิทัล ประสบการณ์ลูกค้าดี, ลด downtime ต้องลงทุนสูง, ต้องมีระบบIT/ซัพพอร์ตที่ดี

🔴 3.แบรนด์ที่โดดเด่น & ส่วนแบ่งตลาดเบื้องต้น

 “ส่วนแบ่งตลาดอย่างเป็นทางการ” จะหายาก แต่แบรนด์ที่มักถูกพูดถึงในฐานะผู้นำตลาดคือ

  1. Otteri Wash & Dry
    • ปัจจุบันมีสาขา 1,250 สาขา
    • เป็นแบรนด์แฟรนไชส์ที่ขยายรวดเร็ว มีสาขาของบริษัทเองประมาณ 400 สาขา และแฟรนไชส์ประมาณ 850 สาขา
    • ใช้การตลาดแบรนด์ (มาสคอต นาก) + ประสบการณ์ผู้ใช้ + ระบบสนับสนุนแฟรนไชส์ + การวางแผนทำเล + เทคโนโลยี (แอป, การแจ้งเตือน ฯลฯ)
    • ตัวอย่างต้นทุนแฟรนไชส์: ขนาดไซต์ M เริ่มต้น ~ 2,422,380 บาท; ไซต์ L ~ 3,163,400 บาท
  2. LaundryBar
    • แบรนด์จากมาเลเซียที่เข้ามาแข่งขันในไทย มีการเปิดสาขาในไทยหลายแห่ง
    • มาตรฐานระบบแฟรนไชส์ / เครือข่าย ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในตลาด
  3. WashXpress
  4. Trendy Wash / WASHCOIN / แบรนด์ท้องถิ่นอื่น ๆ
    • แบรนด์เหล่านี้อาจไม่ได้มีสาขามากเท่า Otteri แต่มีความแข็งแกร่งในระดับท้องถิ่น — บางทีในจังหวัดหรือเขตเมืองเฉพาะ
    • บางแบรนด์อาจใช้กลยุทธ์เฉพาะที่เหมาะกับพื้นที่ (เช่น ใกล้คอนโด หอพัก)

นอกจากนี้ มีความเคลื่อนไหวสำคัญ เช่น

  • LG Laundry Crew — แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปิดร้านสะดวกซักของตนเอง (รุกร้านสะดวกซัก) ในไทย
  • อัลไลแอนซ์ ลอนดรี้ (Alliance Laundry Systems, ALS) — ผู้ผลิตเครื่องซักอุตสาหกรรมที่มีบทบาทในตลาดร้านสะดวกซักในไทย โดย ALS ระบุว่ามีส่วนแบ่งการตลาด ~62% ในไทย (เครื่องซักอุตสาหกรรมที่เข้ามาใช้ในร้านสะดวกซัก)

 

🔴 โมเดลธุรกิจ: แฟรนไชส์” vs. “ลงทุนเอง

ประเด็น Otteri Wash & Dry WashXpress (WASH)
รูปแบบหลัก แฟรนไชส์ (Franchise Model) ลงทุนเอง (Company-Owned Model)
เจ้าของร้าน นักลงทุนรายย่อย / แฟรนไชส์ซี บริษัทแม่เป็นเจ้าของและบริหารเอง
บทบาทบริษัทแม่ ให้สิทธิ์ใช้แบรนด์, ระบบบริหาร, เครื่องจักร, เทรนนิ่ง, ซัพพอร์ตการตลาด ลงทุนทั้งหมดเอง ตั้งแต่หาทำเล ซื้อเครื่อง ซ่อมบำรุง บริหารร้าน
รายได้หลักของบริษัทแม่ ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ (Franchise Fee), ค่าส่วนแบ่งรายเดือน (Royalty), รายได้จากขายเครื่องซัก/อบ, น้ำยา, ระบบ IoT รายได้จากค่าซัก-อบของลูกค้าโดยตรง, ไม่มีรายได้แฟรนไชส์ แต่ได้กำไรจากยอดขายจริง
โครงสร้างต้นทุน ลงทุนน้อยกว่า เพราะใช้เงินจากแฟรนไชส์ซีในการขยาย ลงทุนสูง  เพราะต้องใช้เงินของตัวเองทุกสาขา
การขยายสาขา ขยายเร็ว (ใช้เงินคนอื่น) โตช้าแต่ควบคุมได้แน่นกว่า
ความเสี่ยงทางการเงิน ต่ำ (บริษัทไม่ต้องกู้เงินจำนวนมาก) สูง (ต้องใช้เงินลงทุนต่อเนื่อง / เสี่ยงกระแสเงินสด)
คุณภาพการบริการ อาจไม่สม่ำเสมอ (ขึ้นกับแฟรนไชส์ซีแต่ละราย) ควบคุมคุณภาพได้ทั้งหมด เพราะบริหารเอง
ผลตอบแทนระยะยาว รายได้ต่อสาขาน้อย (ได้แค่ค่าธรรมเนียม/ขายเครื่อง) แต่กระจายความเสี่ยง รายได้ต่อสาขามาก (ได้เต็มทุกบาท) แต่เสี่ยงและใช้เงินเยอะ

 

🔴 ทำไม Otteri เลือก แฟรนไชส์โมเดล

  1. โตเร็วโดยไม่ต้องใช้ทุนตัวเอง
    • แต่ละสาขาแฟรนไชส์ลงทุน 2–3 ล้านบาท
    • ถ้าบริษัทเปิดเอง 1,000 สาขา ต้องใช้เงิน 2–3 พันล้านบาท ซึ่งต้องระดมทุนค่อนข้างมาก
    • การให้แฟรนไชส์ช่วยให้แบรนด์ “ครองตลาดก่อน” (first-mover advantage)
  2. สร้างรายได้หลายช่องทาง
    • จากค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ + ขายเครื่อง + ขายน้ำยา + ระบบควบคุม + ค่าใช้ระบบ
    • รายได้อาจไม่มากต่อสาขา แต่ “มั่นคงและต่อเนื่อง” (Recurring Revenue)
  3. สร้างเครือข่ายกว้างแบบเบาแรง
    • มีผู้ร่วมทุนช่วยดูแลในแต่ละพื้นที่
    • ทำให้ Otteri สามารถขยายไปต่างจังหวัดเร็ว โดยไม่ต้องตั้งทีมบริหารเต็มรูปแบบ
  4. ลดความเสี่ยงการบริหารรายวัน
    • เพราะแฟรนไชส์ซีรับภาระดูแลลูกค้า ซ่อมบำรุงเบื้องต้น ฯลฯ
    • บริษัทแม่โฟกัสที่มาตรฐาน เครื่องจักร และนวัตกรรมระบบได้เต็มที่

🔴 ทำไม WashXpress เลือก ลงทุนเอง

  1. ควบคุมคุณภาพได้เต็มที่
    • บริษัทกำหนดมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา ทั้งราคา การจัดวางร้าน เครื่องซัก และบริการหลังการขาย
    • ป้องกันปัญหา “แฟรนไชส์ทำเสียชื่อแบรนด์”
  2. สร้างรายได้เต็ม 100% ต่อสาขา
    • บริษัทได้ทั้งรายได้และกำไรจากลูกค้าโดยตรง
    • เหมาะกับการเติบโตเชิงลึกในพื้นที่ที่มีกำลังซื้อสูง เช่น เขตเมืองใหญ่
  3. ใช้เป็นสินทรัพย์ระยะยาว
    • สาขาที่ลงทุนเองกลายเป็นทรัพย์สินของบริษัท → เพิ่มมูลค่ากิจการ
    • ช่วยสร้าง “Valuation” สูงขึ้นเวลาเข้าตลาดหุ้น (IPO)
  4. ขยายอย่างคุมเกม / สร้างแบรนด์พรีเมียม
    • WashXpress วางตำแหน่ง “ร้านสะอาดซักครบวงจร” ที่แตกต่างจากแฟรนไชส์ทั่วไป
    • เน้นประสบการณ์ลูกค้า / พื้นที่ขนาดใหญ่ / เครื่องคุณภาพสูง

🔴 ภาพรวมเชิงกลยุทธ์

  • Otteri เล่นเกม “ครองพื้นที่ก่อน” → กระจายสาขาเยอะที่สุดในไทย > 1,250 สาขา
    กลยุทธ์คือ “Speed & Network Effect”
    แบรนด์เข้าถึงทุกชุมชนก่อนใคร
  • WashXpress เล่นเกม “สร้างฐานทุนและคุณภาพ” → สาขาน้อยกว่า (ราว 500+) แต่เป็นของบริษัทเอง (ล่าสุดในวันเข้าตลาด mai คือ 496 สาขา)
    กลยุทธ์คือ “Quality & Ownership Control”
    สร้างธุรกิจที่เติบโตพร้อมมูลค่ากิจการระยะยาว (เหมาะกับ IPO)

🔴 สรุปสั้นที่สุด

Otteri = โตเร็วแบบเบาเงิน (Franchise Empire)
WashXpress = โตช้าแต่มั่นคง (Own-Store Empire)

โมเดลทั้งสองแบบไม่มีใคร “ดีกว่า” อีกฝ่าย แต่เหมาะกับเป้าหมายคนละแบบ

  • Otteri เหมาะกับ “การครองตลาดวงกว้าง”
  • WashXpress เหมาะกับ “การสร้างมูลค่าทางการเงินระยะยาวและภาพลักษณ์คุณภาพสูง”

อ้างอิง :
https://marketeeronline.co/archives/222720
https://marketeeronline.co/archives/248629
https://marketeeronline.co/archives/424005
https://www.sanook.com/money/920079/?utm_source=chatgpt.com
https://www.workpointtoday.com/w757246-2?utm_source=chatgpt.com
https://www.bangkokbiznews.com
https://www.kingstarwasher.com/news/industry-news/uncovering-the-selfservice-laundry-market-in-thailand.html?utm_source=chatgpt.com

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer