ท่ามกลางบรรยากาศทางเศรษฐกิจซบเซาไปทั่วทั้งสหภาพยุโรป (อียู) ในทุกวันนี้ แต่กลับมีหนึ่งในประเทศสมาชิกที่ตัวเลขเศรษฐกิจเป็นบวกได้อย่างต่อเนื่อง
ประเทศนั้นคือ โปแลนด์ โดยในปี 2024 โปแลนด์มีอัตราการเติบโตของจีดีพีเกือบ 3% โดยนี่ไม่เพียงแต่นำหน้าค่าเฉลี่ยของอียูที่ 1% เท่านั้น แต่ยังแซงหน้ายักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ และถือเป็น “พี่ใหญ่” ของกลุ่มอย่างฝรั่งเศส (โต 1.2%) และเยอรมนี ที่โต 1.2% และหดตัว 0.2% ตามลำดับอีกด้วย

ทิศทางบวกของโปแลนด์ยังคงดำเนินต่อมา โดยไตรมาสสองปี 2025 โปแลนด์มีอัตราการเติบโต 0.8% ซึ่งดีที่สุดเป็นอันดับ 5 ในอียูท่ามกลางคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีนี้เศรษฐกิจจะโตราว 3.3% และอาจต่อเนื่องไปอีก 3% ในปี 2026
นี่ทำให้โลกกำลังจับตามองโปแลนด์ โดยโปแลนด์ เคยเป็นที่จดจำจากการถูกทั้งเยอรมนีระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อด้วยการเป็นที่ตั้งของค่ายขุมขังชาวยิว
หลังสงครามครั้งนั้น โปแลนด์ ก็เลือกไปอยู่กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ด้วยการเป็นพันธมิตรกับรัสเซียยุคโซเวียต แต่ต่อมาในยุค 90 ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เริ่มเสื่อมถอย สวนทางกับการขึ้นมามีอำนาจของกลุ่มประเทศประชาธิปไตยซีกโลกตะวันตก ซึ่งโปแลนด์ ก็เป็นประเทศแรกๆ ในยุโรปตะวันออกที่เข้าร่วมกับฝ่ายหลัง
การตัดสินใจดังกล่าวทำให้โปแลนด์ เริ่มมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ โดยต่อมาในปี 2004 ที่เข้าร่วมกับอียู ความเจริญก้าวหน้าของโปแลนด์ในหลายๆ ด้านก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
จีดีพีโปแลนด์โตเฉลี่ย 4% ต่อปี และยิ่งเร่งตัวขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยปัจจุบัน โปแลนด์กำลังมีพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ตลาดหุ้นพุ่งสูงขึ้น และมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นว่าโปแลนด์จะกลายเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและโตต่อเนื่องมากที่สุดในอียู
คาทาร์ซีนา เซนทาเซฟสกา หัวหน้านักวิเคราะห์มหภาคยุโรปกลางและตะวันออกแห่ง Erste Group กล่าวว่า ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โปแลนด์ทำผลงานได้โดดเด่นอย่างแท้จริง ยืนยันได้จากจีดีพีที่แท้จริงที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ฝ่ายจาค็อบ ฟังก์ เคียร์เคการ์ด จากสถาบัน Peterson Institute for International Economics กล่าวเสริมว่า แม้ความสำเร็จนี้จะคล้ายคลึงกับประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันออก แต่ “ขนาด” ของโปแลนด์คือความแตกต่างที่สำคัญ
เพราะโปแลนด์เป็นประเทศใหญ่ ดังนั้น มันจึงมีความสำคัญในระดับภาพรวมของอียูทั้งในแง่การเมืองและน้ำหนักทางเศรษฐกิจ ซึ่งต่างจากประเทศเล็ก

ปัจจุบัน โปแลนด์มีประชากร 37 ล้านคน (มากเป็นอันดับ 5 ในอียู ) และเป็นประเทศที่เศรษฐกิจโตมากสุดติด 20 อันดับแรกของโลก
การขยายตัวเศรษฐกิจ ทำให้โปแลนด์ ต้องมีการลงทุนในด้านอื่นๆ รวมถึงการปกป้องประเทศ โดย โปแลนด์ได้ทุ่มงบประมาณกลาโหมมหาศาล จนปัจจุบันมากเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้)
แม้ว่างบกลาโหมส่วนใหญ่จะใช้สั่งซื้อจากต่างประเทศ แต่เซนทาเซฟสกากล่าวว่า การเติบโตที่แท้จริงของโปแลนด์ขับเคลื่อนโดย การบริโภคภายในประเทศ เป็นหลัก
ตลาดในประเทศที่แข็งแกร่งนี้ สะท้อนจากอัตราการว่างงานต่ำและการเติบโตของค่าจ้างที่แท้จริง ซึ่งช่วยให้โปแลนด์สามารถสกัดกั้นผลกระทบจากปัจจัยลบภายนอกได้ดี
ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกถดถอย โปแลนด์ที่การบริโภคและเศรษฐกิจในประเทศแข็งแกร่งจึงได้รับผลกระทบน้อยมาก ตรงข้ามกับประเทศที่เน้นส่งออกซึ่งย่อมได้รับผลกระทบต่อสถานการณ์นี้อย่างมาก
ความสำเร็จของโปแลนด์เกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก โดยปัจจัยแรกคือการเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มต่างๆ ทั้งอียู นาโต้ และองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) เพราะทำให้มีเงินทุนหลั่งไหลเข้ามาในประเทศ ซึ่งช่วยเร่งพัฒนาการในด้านต่างๆ
ส่วนปัจจัยที่ 2 คือ การวางรากฐานได้อย่างถูกต้อง โดยโปแลนด์นำเงินสนับสนุนจากอียูมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจนเติบโตอย่างก้าวกระโดด
พร้อมขจัดการคอร์รัปชันระดับเล็กน้อยที่เคยแพร่หลายในยุคคอมมิวนิสต์ได้สำเร็จ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ และมีแรงงานที่มีการศึกษาดี จนกล่าวได้ว่าโปแลนด์กลายเป็นต้นแบบของการเข้าเป็นสมาชิกอียูที่ประสบความสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม โปแลนด์ก็มีความท้าทายรออยู่ โดยเฉพาะการเมืองในประเทศที่แบ่งขั้วอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มอนุรักษ์นิยม และกลุ่มเสรีนิยม ที่นำโดยนายกรัฐมนตรี โดนัลด์ ทัสก์
รัฐบาลของนายกทัสก์ซึ่งสนับสนุนอียูมากกว่า ได้ปลดล็อกเงินทุนก้อนโต 1.37 แสนล้านยูโร (ประมาณ 5.1 ล้านล้านบาท) จากอียูได้สำเร็จ หลังจากที่รัฐบาลชุดก่อนมีปัญหากับอียู แต่ชัยชนะของประธานาธิบดีคนใหม่ที่อยู่ตรงข้ามกับนายกรัฐมนตรีก็อาจสร้างความขัดแย้งกับอียูได้ในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่อง สถานการณ์การคลังที่ตึงตัว จากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมหาศาล (ทั้งสวัสดิการและกลาโหม) โดยรัฐมนตรีคลังโปแลนด์คาดว่าการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอาจสูงถึง 6.5% ต่อจีดีพีในปี 2026
แม้นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า นักลงทุนยังไม่กังวลเพราะเศรษฐกิจยังโตเร็ว แต่โปแลนด์จำเป็นต้องมี แผนปรับปรุงการคลังที่น่าเชื่อถือ ซึ่งอาจหมายถึงการประหยัดงบประมาณที่อาจทำให้การเติบโตต่อเนื่องยาวนานนี้ชะลอตัวลงมาบ้าง
นักวิชาการด้านกิจการยุโรปให้ทรรศนะทิ้งท้ายถึงโปแลนด์ที่น่าสนใจและอาจทำให้เพื่อนบ้านและพี่ใหญ่ของอียูอย่างเยอรมนี ต้องปรับนโยบายเศรษฐกิจ
หากเยอรมนีไม่สามารถปฏิรูปตัวเองได้ และโปแลนด์ยังคงทำผลงานได้ดีเหมือน 20 ปีที่ผ่านมา ในที่สุดโปแลนด์ก็จะแซงหน้าเยอรมนี

ถ้าเป็นเช่นนั้น แม้เยอรมนี ยังเป็นประเทศใหญ่และประเทศหลักของอียูอยู่ต่อไป แต่ในทางเศรษฐกิจ อาจกลายเป็นเขตอุตสาหกรรมเก่า ใช้งานอะไรไม่ได้แบบเดียวกับโลหะขึ้นสนิมหรือ Rust Belt เหมือนที่แถบรัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ เป็นอยู่ในปัจจุบัน / dw
