ในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมายและความสนใจเปลี่ยนเร็วกว่าอัลกอริทึมของโซเชียล แบรนด์จึงเริ่มหันมาใช้ “พลังของการร่วมมือ” แทน “พลังของการแข่งขัน”  และนั่นคือจุดกำเนิดของ Collab Marketing หรือ การตลาดแบบจับมือกัน (Collaboration Marketing) ที่กำลังกลายเป็นเทรนด์หลักของยุคนี้

Collab Marketing คืออะไร

Collab Marketing คือกลยุทธ์ที่ สองแบรนด์ขึ้นไปจับมือกันทำแคมเปญหรือผลิตภัณฑ์ร่วมกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ที่แต่ละฝ่ายไม่สามารถทำได้ลำพัง เช่น การแลกฐานลูกค้า การเพิ่มการมองเห็น (Visibility) และการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับแบรนด์

สิ่งสำคัญคือ ต้องเป็น การร่วมมืออย่างมีจุดร่วม ไม่ใช่แค่เอาโลโก้มาวางข้างกัน แต่ต้องมีดีเอ็นเอหรือคุณค่าที่สอดคล้องกัน เช่น ความคิดสร้างสรรค์ แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ หรือแนวทางชีวิตของลูกค้า

ทำไม Collab Marketing ถึงมาแรง

เพราะผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้ซื้อของแค่เพราะ “ฟังก์ชัน” แต่ซื้อเพราะ “ฟีล” การร่วมมือของแบรนด์ที่แตกต่างกันจึงกลายเป็นสิ่งที่ “ปลุกความรู้สึกใหม่” ได้เสมอ

  1. สร้าง Buzz & Talk of the Town
    การจับคู่ที่คาดไม่ถึง (เช่น โคคาโคล่า x BTS หรือ Supreme x Louis Vuitton) ทำให้คนพูดถึงโดยอัตโนมัติ และกลายเป็น “ไวรัลทางอารมณ์”
  2. ขยายฐานลูกค้าอย่างฉลาด
    Collab คือทางลัดสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น ถ้าแบรนด์เครื่องสำอางจับมือกับศิลปิน K-pop ก็สามารถเข้าถึงแฟนคลับจำนวนมหาศาลโดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
  3. เพิ่มคุณค่าทางแบรนด์ (Brand Equity)
    แบรนด์ที่กล้าร่วมมือกับคนอื่น แสดงถึงความเปิดกว้างและทันสมัย ซึ่งช่วยยกระดับภาพลักษณ์ในสายตาผู้บริโภค

ประเภทของ Collab Marketing ที่พบบ่อย

  1. Product Collaboration – ออกสินค้ารุ่นพิเศษร่วมกัน เช่น Starbucks x LINE FriendsUniqlo x Studio Ghibli
  2. Campaign Collaboration – ทำกิจกรรมหรือโฆษณาร่วม เช่น Spotify x Netflix โปรโมตซีรีส์ผ่านเพลย์ลิสต์
  3. Experience Collaboration – ร่วมกันสร้างประสบการณ์ เช่น Nike x Apple Watch ผสานโลกของสุขภาพและเทคโนโลยี
  4. Social Collaboration – ร่วมทำเพื่อสังคม เช่น IKEA x WWF รณรงค์ลดโลกร้อน

Collab ที่ดีต้องมี จุดร่วมที่แท้จริง

การ Collab ที่สำเร็จไม่ได้อยู่ที่ “ชื่อแบรนด์ใหญ่” แต่อยู่ที่ “ดีเอ็นเอเข้ากันได้”
แบรนด์ต้องเข้าใจว่า เรามีอะไรที่อีกฝ่ายไม่มี และเราทั้งคู่จะได้อะไรจากกันและกัน

เช่น

  • LEO x Carnival สร้างสตรีตแฟชั่นที่เชื่อมความเป็นไทยกับความมันส์
  • Lotus’s x Jay The Rabbit ใช้มาสคอตดังช่วยสื่อสารเรื่องชีวิตประจำวันอย่างอบอุ่นและเข้าถึงง่าย

ข้อควรระวังของ Collab Marketing

  • ถ้าดีเอ็นเอไม่เข้ากัน จะกลายเป็น “จับมือผิดคน” ทำให้ภาพลักษณ์เสียมากกว่าจะได้
  • ถ้าฝ่ายหนึ่งเด่นเกินไป จะถูกมองว่าอีกฝ่าย “อาศัยกระแส” มากกว่าร่วมสร้างคุณค่า
  • ถ้าทำถี่เกินไป อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ “หมดเอกลักษณ์ของตัวเอง”

สรุป : การร่วมมือที่มากกว่าการขาย

Collab Marketing ไม่ใช่แฟชั่นชั่วคราว แต่คือแนวคิดใหม่ของการเติบโตแบบ Win-Win
ในโลกที่ “คนซื้อเลือกสิ่งที่ทำให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง” การ Collab จึงกลายเป็นศิลปะของการสร้าง Connection มากกว่า Competition 🟥


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer