เพราะสังคมสูงวัยยิ่งยวด หรือมีผู้สูงอายุจำนวนมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรทั้งหมด เป็นปัญหาใหญ่ของญี่ปุ่นและต้องใช้เวลาอีกนานในการแก้ไข จึงทำให้ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติมากขึ้น 

ทว่าก็เกิดอีกปัญหาตามมา และผู้ได้รับผลกระทบมากสุดคือ กลุ่มผู้ที่มาจากแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ที่มาข้ามน้ำข้ามทะเลทำงานใน “แดนซามูไร” แล้วส่งเงินไปจุนเจือครอบครัวในบ้านเกิด

 

รายงานของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่นระบุว่า เมื่อปี 2024 มีแรงงานต่างชาติที่เดินทางเข้ามาอย่างถูกกฎหมายอยู่ราว 2.3 ล้านคน โดยในจำนวนนี้มี 6,244 คนที่เจออุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติงาน และ 39 คนที่โชคร้ายถึงขั้นเสียชีวิต 

แม้นี่เป็นตัวเลขที่น้อยมากหากเทียบกับจำนวนแรงงานต่างชาติทั้งหมด แต่ก็กลายเป็นประเด็นขึ้นมา เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขสูงขนาดนี้ เป็นการทำลายสถิติ และเพิ่มจาก 4,000 คนที่มีการเก็บสถิติครั้งแรกเมื่อปี 2019 

ขณะเดียวกัน หากแยกเป็นโซนก็จะพบว่า แรงงานจากแถบอาเซียนเจออุบัติเหตุระหว่างทำงานสูงสุด โดยมีเวียดนามมาเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน 1,594 คน ขณะที่ฟิลิปปินส์กับอินโดนีเซียเป็นอันดับ 2 และ 3 แบบห่าง ๆ ด้วยจำนวน 878 คนและ 757 คน ตามลำดับ ซึ่งหากนำมารวมกันแล้วจะมากเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนแรงงานต่างชาติในญี่ปุ่นที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติงาน 

สำหรับผู้ประสบอุบัติเหตุส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้พำนักระยะยาว และผู้ที่เข้ามาภายใต้โครงการจ้างงานหลักของญี่ปุ่น เช่น โครงการฝึกงานด้านเทคนิค (Technical Intern Training Program) และโครงการแรงงานทักษะเฉพาะ (Specified Skilled Workers)

นี่เป็นช่องทางหลักที่ดึงดูดแรงงานจากอาเซียนเข้าสู่ภาคส่วนที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมการผลิต (2,979 ราย) และการก่อสร้าง (1,165 ราย) ส่วนประเภทงานที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยสุดคือการถูกเครื่องจักรหนีบหรือดึงเข้าไปในเครื่องจักร และการตกจากที่สูง 

รายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า อัตราการเกิดอุบัติเหตุต่อ 1,000 คนของแรงงานต่างชาติอยู่ที่ 2.71 คน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนญี่ปุ่นที่ 2.35 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ฝึกงานด้านเทคนิคที่อัตราพุ่งสูงถึง 3.98 คน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังเป็นกลุ่มที่เต็มไปด้วยแรงงานจากอาเซียน 

ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ ชี้ว่าสาเหตุหลักมาจาก “การฝึกอบรมด้านความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอและช่องว่างในการสื่อสาร” ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อแรงงานที่ไม่คุ้นเคยกับภาษาและสภาพแวดล้อมการทำงานของญี่ปุ่น 

ทว่าก็ต้องติดตามการแก้ไขปัญหาต่อไป เพราะ แม้ทางการญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายที่จะลดอัตราอุบัติเหตุของแรงงานต่างชาติให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ แต่กลับวางกรอบเวลาแผนการจัดอบรมและแปลคู่มือความปลอดภัยให้เสร็จไว้ในปี 2027 จนอาจกล่าวได้ว่าในระหว่างนี้ แรงงานต่างชาติอาจต้องขวนขวายเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นและดูแลความปลอดภัยตัวเองให้ดีไปก่อน 

ฝ่ายนักวิชาการญี่ปุ่นก็ออกมาแสดงความกังวลเรื่องนี้เช่นกัน โดย รองศาสตราจารย์ โยชิฮิสะ ไซโตะ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแรงงานต่างชาติ ชี้ว่าปัญหาด้าน “ความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นที่จำกัด” เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้แรงงานเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลความปลอดภัยและการยื่นขอรับเงินชดเชยจากประกันภัยแรงงานได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย 

สำหรับโครงการฝึกงานด้านเทคนิคของญี่ปุ่น เริ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี 1993 หรือเมื่อ 32 ปีก่อน โดยมุ่งเน้นไปที่การยกระดับทักษะทางเทคนิคของแรงงานต่างชาติจากประเทศกำลังพัฒนา และต่อมาแรงงานเหล่านี้ก็เข้ามาทดแทนแรงงานญี่ปุ่นที่เกษียณไป

 

แต่ขณะเดียวกันก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นกลไกที่ถูกใช้เพื่อนำเข้าแรงงานราคาถูก ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากประเทศแถบอาเซียน ดังนั้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติงาน ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากสุดจึงเป็นแรงงานจากอาเซียน ดังที่ได้กล่าวถึงไปด้านบนนั่นเอง / japantoday 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer