ด้วย Low barrier to entry ทำให้ตลาดชานมและชาผลไม้ในบ้านเรามีผู้เล่นรายใหม่แทบทุกเดือน และการเปิดร้านที่ง่ายทำให้โจทย์ที่ท้าทายสำหรับแบรนด์คือ “การเติบโตที่ยั่งยืน”
ท่ามกลางสมรภูมิที่เข้มข้นนี้ GAGA ชานมไข่มุกแบรนด์ไทย กลับเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 7 ปีที่ผ่านมา แถมยังขยับขึ้นมาเป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องดื่มที่มีศักยภาพสูงสุดที่ Minor Food กำลังจะปั้นให้เป็น Unicorn Brand ด้วยจำนวนสาขากว่า 80 แห่งทั่วไทย 30 แห่งในอินโดนีเซีย อีก 1 สาขาที่สปป.ลาว และกำลังเร่งเครื่องเพื่อก้าวสู่ Global Stage โดยตั้งเป้าที่จะมี 400 สาขา ในอีก 3 ปีข้างหน้า
ทำไม Minor Food ถึงเลือก “ชา” เป็นสนามถัดไป

อนุพนธ์ นิธิยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บอกกับเราว่า
ในมุมของ Minor Food ซึ่งถือพอร์ตแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย ทั้ง The Pizza Company, Swensen’s, Dairy Queen, Sizzler ไปจนถึงแบรนด์ระดับนานาชาติ
การตัดสินใจลงทุนลงแรงใน GAGA ไม่ใช่การ “เล่นกับเทรนด์” แต่เป็นการอ่านตลาดระยะยาวและพบว่า “ชา” กำลังจะมีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคไม่ต่างจากกาแฟ เพียงแต่ยังไม่มีใครวาง Positioning ตัวเองในฐานะผู้นำด้าน Premium Tea อย่างจริงจัง
Minor Food มองตลาดชาออกเป็น 3 เซกเมนต์ คือ Premium, Middle และ Mass ซึ่งตั้งแต่วันแรกที่ Minor Food เข้ามาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ GAGA แบรนด์นี้ถูกวางให้อยู่ใน Middle Tier อย่างชัดเจน แต่ในช่วงสองสามปีหลัง พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มหันสู่ตลาด Premium ทั้งจากเทรนด์สุขภาพ เทรนด์ Specialty Drink และความสนใจต่อ Origin ของวัตถุดิบ
คำถามจึงไม่ใช่ว่า GAGA จะอยู่รอดในตลาดชาหรือไม่ แต่คือ “จะยกระดับตัวเองจาก Middle Tier ไปสู่ Premium Player ได้อย่างไร โดยไม่ทิ้งลูกค้าเดิม และไม่ทิ้งความเป็นตัวเอง”
จากโจทย์ในข้างต้น และเป้าหมายของการก้าวสู่การขยายตัวระดับนานาชาติ ในโอกาสครบรอบ 7 ปีของแบรนด์ Minor จึงโบกธงรบสร้างการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จะยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า สร้างมาตรฐานใหม่ พร้อมประกาศ “เฟสใหม่ของธุรกิจ” ที่เตรียมพา GAGA ขึ้นสู่เวทีสากลอย่างจริงจัง กับกลยุทธ์แรกอย่าง 7 Leaps Forward

1) New Store Design ดีไซน์ใหม่แบบ Playful Premium ที่ดูโตขึ้น ประณีตขึ้น แต่ยังสนุกแบบ GAGA
- ใช้ภาษาภาพลักษณ์ใหม่ Upbeat Sophistication
- เล่นกับเส้นแสง วัสดุ และความโปร่งใส
- เน้นความสะอาดและเปิดเผยขั้นตอนการชง
- นำเสนอความพรีเมียมแบบมีชีวิตชีวา
- เปิดตัวครั้งแรกที่ เซ็นทรัลลาดพร้าว ก่อน Roll Out ทั่วประเทศ
ร้านถูกวางให้เป็น Destination มากกว่าจุดซื้อเครื่องดื่ม ทุกองค์ประกอบคือการยกระดับการมองแบรนด์จาก “ร้านชา” ไปสู่ “Tea Experience”

2) New Smart Equipment ระบบชงชาอัจฉริยะมาตรฐานโลก การลงทุนในอุปกรณ์คือเรื่องที่ Minor ให้ความสำคัญอย่างที่สุด เพราะต้องการให้ GAGA “เสิร์ฟคุณภาพเหมือนกันทุกแก้ว ทุกร้าน ทุกประเทศ”
- Auto Tea Machine: ควบคุมอุณหภูมิ เวลา ปริมาณได้แม่นยำ 100%
- Tea Spresso: สกัดชาแบบกาแฟ เพิ่ม Aroma และ Layer รสชาติ
- Tea Steamer: ต้มชาแบบอัตโนมัติแทนการใช้แรงงานคน เพื่อคุณภาพที่เสถียร
อุปกรณ์ชุดนี้คือหัวใจของความ Consistency, Speed, Scalability และเป็นรากฐานสำคัญของการขยายสาขาสู่ต่างประเทศในอนาคต
3) New Packaging พรีเมียมขึ้น ใช้ซ้ำได้ และยั่งยืน ความพรีเมียมของยุคนี้ไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ แต่คือคุณค่าที่จับต้องได้ GAGA จึงออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่ ใช้ซ้ำได้ (Reusable), ทนร้อน/ทนเย็น, ถือแล้วดูดี, สะท้อน Brand Purpose และแนวคิด Sustainability ของ Minor Food
นี่คือ Premium Identity ที่ “พรีเมียมเพราะมีความหมาย” ไม่ใช่เพราะแพง และเป็นอีกองค์ประกอบที่เตรียมแบรนด์ให้พร้อมสู่ตลาดต่างประเทศ
4) New Flavors Specialty Tea & Tea Latte 6 เบลนด์พรีเมียม
การก้าวสู่ Premium Tier ต้องเริ่มจาก “สินค้า” ที่พิสูจน์ตัวตนได้ชัดเจน ปีนี้ GAGA เปิดตัว 6 Specialty Tea Blend ที่ชงสดแก้วต่อแก้ว ซึ่งตรงนี้มาจาก Insight ว่าผู้บริโภคกำลังหา “ชาที่มีรายละเอียดมากกว่า mainstream” โดย Base ชาพรีเมียม 5 ชนิด คือ Camellia Tea, Oolong Tea, Da Hong Pao, Jasmine Tea และ Black Tea
สิ่งที่ทำให้ Specialty Tea ของ GAGA แตกต่าง คือ ชงสดแบบ Brew ทันที ไม่ใช้ชาเบสหม้อใหญ่, กลิ่นและรสของ Origin ชัดเจน, จับคู่กับ Topping ที่คิดมาเฉพาะแต่ละเบลนด์ เช่น Lychee x Da Hong Pao
ที่สำคัญคือตอบโจทย์ 3 กลุ่ม ทั้ง คอชาตัวจริง, Health-conscious และ Adventure Seekers
5) New Channel: QR Ordering เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นขึ้น เพื่อรองรับลูกค้าจำนวนมากและพฤติกรรมแบบเร่งรีบ
GAGA ปรับ Flow ร้านใหม่เพื่อให้ “เร็วขึ้นแต่ไม่เสียประสบการณ์” สแกน สั่ง รับ ลดเวลาต่อคิว เพิ่ม Touchpoint ดิจิทัล และช่วยให้ร้านแต่ละสาขา Operate ได้ลื่นขึ้นในช่วงพีก

6) New Merchandise จากเครื่องดื่มสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ เมื่อแบรนด์เติบโตถึงจุดหนึ่ง สินค้าที่ลูกค้าถือกลับบ้านจึงไม่จำเป็นต้องเป็น “เครื่องดื่ม” เสมอไป Minor และทีม GAGA มองโอกาสใหม่ของการสร้าง Community ผ่านสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น การเปิดตัวคอลเลกชัน Merch ใหม่ สร้าง Culture และ Character ของแบรนด์ให้จับต้องได้ หรือเสริม Brand Love ที่นอกเหนือจากเมนูในแก้ว
7) New Territory ปูทางสู่การขยายสู่ต่างประเทศอย่างจริงจัง ปีที่ 7 คือจุดเริ่มต้นของแผน Global Expansion
โครงสร้างร้าน อุปกรณ์ ระบบมาตรฐาน ถูกออกแบบมาให้ “พร้อมออกนอกประเทศ” ตั้งแต่ต้น
โดยเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา GAGA เริ่มขยายสาขาไปยังประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบัน มีทั้งหมด 30 สาขา และในปี 2567 ที่ผ่านมาได้เปิดสาขาที่ สปป.ลาว 1 แห่ง และจากนี้ไปจะรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นโดยประเทศและภูมิภาคที่อยู่ในแผนคือ Southeast Asia และ Middle East ตั้งเป้า 400 สาขา ภายในปี 2028
ทำไม Minor มั่นใจในศักยภาพของ GAGA
ด้วยตัวเลขสาขาในต่างประเทศและรางวัลระดับประเทศเป็นสัญญาณชัดว่า GAGA ไม่ได้เป็นแค่ร้านชา แต่เป็นแบรนด์ที่มี “ระบบพร้อมสเกล” ซึ่งเป็นคุณสมบัติของแบรนด์ที่สามารถเป็น Unicorn ได้จริงในธุรกิจ F&B
โดยอนุพนธ์เหตุผลที่ Minor เชื่อมั่น GAGA ระยะยาว เพราะ
- เติบโตอย่างสม่ำเสมอ 7 ปี
- พิสูจน์ตัวเองในตลาดต่างประเทศ (อินโดนีเซีย) ได้
- มีระบบแฟรนไชส์ที่แข็งแรงตามมาตรฐาน Minor
- ได้รางวัล Best Export Franchise และ Rising Star Franchise
- มีสินค้า ประสบการณ์ ดีไซน์ ที่สามารถแข่งขันกับ Global Tea Brand ได้
ในอีกมิติที่สะท้อน “ศักยภาพทางธุรกิจ” ของ GAGA อย่างชัดเจน คือ การเปิดจำหน่ายแฟรนไชส์ในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีแล้ว 8 สาขาแฟรนไชส์ กระจายอยู่ในหัวเมืองสำคัญอย่างกาญจนบุรี สระบุรี สมุย และหาดใหญ่ สิ่งนี้สะท้อนว่าความต้องการของผู้ประกอบการรายย่อยต่อแบรนด์ที่ “มีระบบพร้อมสเกล” นั้นมีมากกว่าที่คิด เพราะในตลาดที่มีร้านชาเปิดง่ายและปิดง่าย การได้พาร์ทเนอร์อย่าง Minor Food จึงกลายเป็นเครื่องการันตีมาตรฐานและโอกาสในการอยู่รอดระยะยาว

Marketeer มองว่า การประกาศ 7 Leaps Forward ไม่ได้เป็นเพียงการขยับเล็กๆ แบบ Cosmetic Change แต่คือการ “ยกระดับสมการการแข่งขันในตลาดชาไทยทั้งสนาม”
เพราะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การแข่งขันจะไม่ใช่ว่า “ใครเปิดร้านได้ไวกว่า” แต่จะเป็น ใครสร้างมาตรฐานระดับโลกได้จริงกว่า
GAGA คือหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่กล้าลงทุนทุกจุดพร้อมกัน ตั้งแต่ระบบชง เครื่องมือคุณภาพสูง ดีไซน์ร้าน ประสบการณ์ลูกค้า ความยั่งยืน ไปจนถึงสินค้า Premium ที่แข่งขันได้ทั้งในและนอกประเทศ
และในวันที่ Minor Food ตัดสินใจปักธงให้ GAGA เป็น “Unicorn Brand ด้านเครื่องดื่ม”
ตลาดชานมไทยจึงอาจเข้าสู่ยุคใหม่ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของความอร่อยหรือราคา แต่เป็นเรื่องของ คุณภาพ ระบบ วิสัยทัศน์ และความสามารถในการไปสู่ Global Stage

