ในอดีต ภาพความสำเร็จของชีวิตมักถูกวาดไว้ด้วยเส้นทางที่ชัดเจน เริ่มจากการเรียนจบ หางานทำ แต่งงาน และมีทายาทไว้สืบสกุล แต่ในโลกยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความผันผวนทางเศรษฐกิจและค่านิยมสังคมที่เปิดกว้าง “พิมพ์เขียว” ของชีวิตรูปแบบเดิมกำลังถูกสั่นคลอนอย่างหนัก

คนรุ่นใหม่ในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะในไทยและเวียดนาม เริ่มตั้งคำถามว่า “การแต่งงาน” คือคำตอบของความสุขที่แท้จริง หรือเป็นเพียงภาระที่มาพร้อมกับต้นทุนมหาศาลกันแน่ ความลังเลนี้ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์การครองตัวเป็นโสดพุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
สื่อสิงคโปร์ได้ตีแผ่เรื่องราวนี้ผ่านการสัมภาษณ์คนรุ่นใหม่ในไทยและเวียดนาม เช่น พชรพร แสงประดับ หญิงสาวชาวไทยวัย 26 ปี ที่เปิดเผยว่า หากเธอจะแต่งงาน เหตุผลหลักอาจเป็นเพียงความต้องการสวมชุดเจ้าสาวสักครั้ง แต่เธอก็ยอมรับว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตคู่ เพราะ พอแต่งงานแล้ว พันธะจะมากขึ้น ความอิสระจะหายไป และอาจจะยิ่งแย่ลงหากมีลูก
เธอกล่าวเสริมว่า หากไม่เจอคนที่ใช่จริงๆ การครองตัวเป็นโสดตลอดไปอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ซึ่งมุมมองของพชรพรสะท้อนภาพรวมของสังคมไทยได้เป็นอย่างดี
ข้อมูลระบุว่าปัจจุบัน 1 ใน 4 ของคนไทยยังครองตัวเป็นโสด โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z และ Gen Y (อายุ 25-34 ปี) ที่มีสัดส่วนคนโสดสูงถึง 3 ใน 10 ขณะที่ในกรุงเทพฯ ประชากรเกือบครึ่งหนึ่งยังคงครองตัวเป็นโสด
เทรนด์นี้ยังเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามอีกด้วย โดยเฉพาะในโฮจิมินห์ซิตี้ที่อายุเฉลี่ยของการแต่งงานครั้งแรกพุ่งสูงถึง 30.4 ปี เช่นเดียวกับในญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ที่มองว่าการแต่งงานไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตอีกต่อไป
มุมมองที่เปลี่ยนไปนี้สร้างความไม่พอใจให้คนบางกลุ่ม เช่น เจิ่น ทัญ นาม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยในเวียดนาม ที่มองว่าคนรุ่นใหม่เริ่ม “เห็นแก่ตัว” และขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
ในทางกลับกัน นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพมองว่าความเป็นจริงซับซ้อนกว่านั้น เพราะคนรุ่นใหม่เติบโตมาในยุคแห่ง “ความหม่นหมอง” ที่เต็มไปด้วยวิกฤตเศรษฐกิจ โรคระบาด และปัญหาโลกร้อน ประกอบกับการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ท่วมท้น ทำให้พวกเขาระมัดระวังในการตัดสินใจเรื่องสำคัญ
ภาวะนี้บีบให้พวกเขาต้องลำดับความสำคัญใหม่ โดยเลือก “ชะลอ” เรื่องที่รองลงมาอย่างการแต่งงานออกไป เพื่อทุ่มเทสร้างความมั่นคงให้ชีวิตตนเองก่อน
ยังมีอีก 3 ปัจจัยที่ทำการแต่งงานถูกลดความสำคัญ โดยปัจจัยแรกคือ การที่มองว่าปากท้องต้องมาก่อ เพราะ การแต่งงานและมีลูกในยุคนี้คือภาระทางการเงินมหาศาล
ธนสาร รัชดานนท์ ผู้จัดการโรงงานวัย 44 ปี ที่คบกับแฟนมานานกว่า 10 ปีแต่ยังไม่แต่งงาน ให้เหตุผลว่าสถานะทางการเงินคือปัจจัยหลัก หากแต่งงานต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องบ้านและภาระอื่นๆ ตามมา เขาจึงเลือกแยกกันอยู่เพื่อดูแลพ่อแม่ของตนเอง ซึ่งเป็นความกตัญญูที่ต้องใช้ทั้งเงินและเวลา
ปัจจัยต่อมาคือ คนรุ่นใหม่หันมามีความสำพันธ์ แบบไม่ระบุสถานะ (Situationship) มากขึ้น โดย ข้อมูลจาก Tinder พบว่ามีการระบุคำนี้ในโปรไฟล์เพิ่มขึ้นถึง 49% เพราะคนรุ่นใหม่โหยหาความใกล้ชิดแต่ไม่ต้องการพันธะที่หนักอึ้ง เพื่อให้มีเวลาโฟกัสกับการทำงานและค้นหาตัวเอง

ส่วนปัจจัยสุดท้ายคือ เทรนด์หญิงแกร่งผู้เพียบพร้อม (Gold Miss) โดย ในสังคมไทยที่ผู้หญิงมีการศึกษาสูงขึ้น พวกเขามักเลือกครองตัวเป็นโสดหากไม่เจอคู่ครองที่มีคุณสมบัติเท่าเทียมหรือสูงกว่า
ปัจจัยนี้สะท้อนผ่านผลสำรวจที่ว่า 7 ใน 10 ของสาวโสดชาวไทย ต้องการคู่ครองที่มีรายได้ 100,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน
รายงานชิ้นนี้สรุปทิ้งท้ายด้วยทัศนะของนายแบบชาวเวียดนามที่มองว่า การเป็นโสดก็มีความสุขได้ ในอดีตเรามักนิยามความสุขผิดๆ ว่าต้องมีครอบครัว แต่พอครอบครัวล้มเหลวกลับไม่มีใครพูดถึง การใช้ชีวิตโสดจนแก่ไม่ได้แปลว่าไม่มีความสุข เพราะเราสามารถหาความจอยจากเรื่องอื่นๆ ได้อีกมากมาย
ดังนั้นจึงมองได้ว่าในยุคที่โลกเต็มไปด้วยปัญหาและค่าครองชีพที่พุ่งสูง การ “รักตัวเอง” และ “รวยไว้ก่อน” จึงกลายเป็นสูตรสำเร็จใหม่ที่คนรุ่นใหม่ในอาเซียนเลือกใช้ แทนการก้าวเข้าสู่ประตูวิวาห์ตามขนบธรรมเนียมแบบเดิม / channelnewsasia
