ธุรกิจจำนำทะเบียนรถ มูลค่าเท่าไร ? วิเคราะห์ตลาดปี 2562 จุดเปลี่ยนเกมคือ อัตราดอกเบี้ย !!!

ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะทำให้หลายคนรู้สึกว่า “อ่อนแรง” หลายอุตสาหกรรมมีภาพรวมยอดขาย “ติดลบ”

แต่คงไม่ใช่ธุรกิจ “จำนำทะเบียนรถ” หรือที่ชาวบ้านทั่วไปชอบเรียกกันว่า “รถแลกเงิน หรือรถเปลี่ยนเงิน”

โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่ายอดสินเชื่อคงค้างธุรกิจจำนำทะเบียนรถในปี 2015 มีมูลค่า 46,430 ล้านบาท แต่ล่าสุด สิ้นปี 2018 นั้นมีมูลค่าเกือบๆ แตะ 2 แสนล้านบาท

คิดคร่าวๆ ภายใน 3 ปีธุรกิจนี้มีมูลค่าตลาดเติบโตเพิ่มมากขึ้นถึง 3.1 เท่าเลยทีเดียว โดยลูกค้าคนสำคัญที่สุดเป็นฐานตลาดใหญ่อันดับ 1 ก็คือกลุ่มคนรายได้ปานกลาง จนถึงรายได้น้อย

ยิ่งเมื่อสภาวะเศรษฐกิจประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มคนมีรายได้น้อยได้รับผลกระทบจากหลายๆ ด้าน และ “สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ” กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในการตอบโจทย์ เพราะกฎเกณฑ์การจะได้เงินสดรวดเร็วและง่ายนิดเดียว

เพราะแค่มีรถก็นำไปจำนำกับธนาคารหรือไฟแนนซ์ จากนั้นหากไม่ติดเครดิตบูโร (หลายแห่งอาจติดก็ปล่อยกู้) จากนั้นก็ได้เงินสดกลับบ้านทันที แถมรถก็ยังเอาไปขับได้อีก

เหรียญย่อมมี 2 ด้าน เพราะในอีกมุมที่ลูกค้าต้องแบกรับก็คือดอกเบี้ยที่สูงจากธนาคารประมาณ 10-15% ต่อปี หรือกลุ่มไฟแนนซ์ที่อาจปล่อยกู้ง่ายกว่า แต่ลูกค้าต้องยอมแลกมากับดอกเบี้ยที่สูง บางรายอาจคิดดอกเบี้ยถึง 50% ต่อปี (รวมค่าธรรมเนียมอื่นๆ)

ไม่แปลกเมื่อดอกเบี้ยดีงามขนาดนี้ ทำให้หลายๆ ธนาคารจากที่เคยหมางเมินธุรกิจนี้ เลือกจะหันมาใส่ใจในพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถอย่างจริงจัง บางธนาคารถึงกลับเป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้หลักของตัวเอง

ไม่ใช่แค่กลุ่มธนาคาร แต่สถาบันการเงิน Non Bank อีกมากมาย ไล่ไปจนถึงกลุ่มปล่อยเงินกู้นอกระบบ ที่แอบเปิดธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ โดยลูกค้าส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดของบริษัทเหล่านี้ก็คือกลุ่มที่ขอสินเชื่อจากธนาคารไม่ผ่านนั่นเอง

และในอดีตที่ผ่านๆ มา กลุ่มบริษัทเหล่านี้แหละ! ที่เกิดดราม่าทั้งในโลกออนไลน์จนไปถึงจอทีวี โดยประเด็นที่ฮิตที่สุดนั้นก็คือดอกเบี้ยที่แพงเกินจริง, ค่าใช้จ่ายแอบแฝง จนถึงการพยายามยึดรถลูกค้าเพื่อเอาไปขายทอดตลาด แถมเมื่อขายเสร็จแล้วไม่มีการนำเงินส่วนต่างที่เหลือคืนลูกค้า

ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเตรียมออกมาตรการกำกับดูแลกลุ่มบริษัทสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเหล่านี้แบบเข้มงวด โดยไม่ให้คิดอัตราดอกเบี้ยเกิน 28% ต่อปี จากที่ผ่านๆ มานั้นมีหลายบริษัทคิดดอกเบี้ย 50% ต่อปี

ส่วนการบังคับข้อนี้จะเป็นไปได้หรือไม่นั้นคงต้องติดตาม เพราะกลุ่มบริษัทจำนำทะเบียนรถหลายราย ให้เหตุผลว่าดอกเบี้ยที่ต้องแพงกว่าธนาคาร เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาใช้สินเชื่อจำนำทะเบียนรถคือกลุ่มที่ธนาคารปฎิเสธไม่อนุมัติเงินกู้ให้

นั่นหมายความว่าอัตราความเสี่ยงที่จะเป็นหนี้สูญหรือ NPL ก็ย่อมมากกว่าธนาคาร อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงหนี้, การยึดรถเพื่อนำไปขายต่อในตลาดมือสอง

การจะให้อัตราดอกเบี้ยของบริษัทเหล่านี้ใกล้เคียงกับกลุ่มธนาคารคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก

นอกจากการควบคุมอัตราดอกเบี้ย กฎเกณฑ์ต่อๆ มาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดขึ้นเพื่อคุ้มครองผู้กู้นั้น ก็คือ   

– หากยึดรถแล้วขายทอดตลาด บริษัทต้องคืนเงินส่วนต่างที่เหลือกับผู้กู้ตามความเป็นจริง

– บริษัทต้องให้ข้อมูลชัดเจนตรงไปตรงมา เพื่อให้ผู้กู้ประกอบการตัดสินใจ

  ส่วนบริษัทที่จะทำธุรกิจนี้ ต้องมีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาทขึ้นไป หากยังไม่ถึงเกณฑ์ สามารถเพิ่มทุนได้ภายใน 1 ปี นับจากมีประกาศตามกฎหมาย

กฎเหล็กต่างๆ เหล่านี้นอกจากเป้าหมายเพื่อคุ้มครองผู้กู้สินเชื่อประเภทนี้ไม่ให้ถูกเอาเปรียบเหมือนอย่างในอดีตแล้วนั้น

อีกเป้าหมายหนึ่งก็คือ การลดจำนวนไม่ให้กลุ่มคนรายได้น้อยไปสู่หนี้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง และมีการทวงหนี้ที่รุนแรง บางรายถึงกับผิดกฎหมาย โดยจากการสำรวจของรัฐบาลนั้น ระบุว่าปัจจุบันเมืองไทยมีหนี้นอกระบบมูลค่าสูงถึงประมาณ 9 หมื่นล้านบาท

เพราะฉะนั้นการสร้างกรอบให้กลุ่มบริษัทสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ก็คือหากกลุ่มรายได้น้อยกู้ธนาคารไม่ผ่าน ก็ยังมีบริษัทเหล่านี้เป็นที่พึ่งพาได้แบบไม่เอาเปรียบมากเกินไป

ก่อนที่จะไปถึงทางเลือกสุดท้าย คือการไปสู่การกู้หนี้นอกระบบ

ปัญหาเวลานี้คือ กฎเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยขีดเขียนขึ้นมาพร้อมที่จะประกาศใช้ จะทรงพลังจนสามารถควบคุมบริษัทสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ให้ปฎิบัติตามอย่างไม่บิดพลิ้วได้หรือไม่

อีกไม่นานคงรู้กัน!

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer