ใน 1 ปีประเทศไทยมีปริมาณขยะหนักถึง 27 ล้านตัน

หากนึกภาพไม่ออกว่ามหาศาลขนาดไหน กรมควบคุมมลพิษ บอกว่าถ้าเรานำเอาขยะ 27 ล้านตันมากองรวมกัน

จะมีความสูงเทียบเท่าตึกใบหยก 2 ที่มีถึง 140 ชั้น

แน่นอนขยะย่อมมีหลากหลายชนิด แต่ขยะที่เป็นปัญหาอันดับต้นๆ ก็คือ “พลาสติก” ที่ส่วนใหญ่ใช้เวลาย่อยสลาย 300-400 ปีเลยทีเดียว

เรื่องนี้จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร หากประเทศไทยที่มีขยะพลาสติกปีละ 2 ล้านตัน แต่เชื่อหรือไม่ว่า

ในจำนวนขยะพลาสติก 2 ล้านตันนั้น ประเทศไทยกลับทิ้งพลาสติกลงสู่แหล่งน้ำต่างๆ สูงถึง 1.3 ล้านตันต่อปี

โดยหนึ่งในแหล่งน้ำที่รองรับจำนวนพลาสติกมากที่สุดก็คือ ทะเล

จนทำให้ประเทศไทยติดอันดับ 6 ในการเป็นประเทศที่มีการทิ้งขยะพลาสติกลงสู่ทะเลมากที่สุดในโลก

หากปล่อยไว้นานวัน ท้องทะเลไทยที่เคยสวยงามก็อาจเป็นเพียงแค่ภาพในอดีต

อีกทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะมีจำนวนน้อยลง เพราะท้องทะเลไทยที่เคยเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกไม่ได้สวยงามเหมือนอย่างในอดีต

เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลไทยต้องค้นหาสารพัดวิธี ทั้งปลูกจิตสำนึกของประชาชนไม่ให้ทิ้งขยะลงแหล่งน้ำ, การทำความสะอาดแหล่งน้ำต่างๆ

สุดท้ายก็คือการประกาศยกเลิกการใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งจำนวน 8 ชนิดภายในปี 2025 โดยแบ่งเป็น 3 เฟส

เฟสแรกนั้นประกาศยกเลิกภายในปี 2019 มีพลาสติก 4 ชนิด

1. Cap seal ที่รัดรอบฝาน้ำดื่มสารพัดแบรนด์ โดยส่วนใหญ่จะผลิตจากพลาสติก PVC

2. พลาสติกประเภท HDPE ที่ใช้ทำถุงร้อน มีคุณสมบัติทนความร้อนได้ถึง 100 องศาเซลเซียส มักนิยมเอาไปใส่อาหารตามสั่งที่เป็นของร้อน

3. พลาสติก LDPE ถุงเย็น ที่นิยมเอาไปใส่อาหารทุกชนิดยกเว้นอาหารที่มีความร้อนสูง

4. Microbead ชิ้นส่วนเล็กๆ ของพลาสติกในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ยาสีฟัน น้ำยาทำความสะอาด และอื่นๆ อีกมากมาย

ส่วนเฟส 2 ที่จะยกเลิกปี 2022 ประกอบด้วย 1. ถุงพลาสติกหูหิ้ว 2. กล่องโฟมบรรจุอาหาร

ส่วนเฟสสุดท้าย ที่จะยกเลิกปี 2025 คือ แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และหลอดพลาสติก โดยส่วนใหญ่จะผลิตจากพลาสติกประเภท polystyrene

แน่นอนคนที่จะได้รับผลกระทบคนแรก ก็คือกลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกต่างๆ โดยมีโจทย์ที่ฟังดูง่ายแต่ทำให้เกิดขึ้นจริงนั้น “ยาก”

นั่นคือ ต้องหาวัตถุดิบชนิดใหม่มาใช้ทดแทนพลาสติกของเดิมที่ถูกยกเลิกไป แถมยังต้องเป็นวัตถุดิบที่เมื่อนำมาใช้งานจริงสามารถเทียบชั้นกับพลาสติก

ทำให้กลุ่มบริษัทพลาสติกบรรจุภัณฑ์ต้องลงทุน R&D รวมไปถึงต้องหาวัตถุดิบใหม่ๆ เพื่อมาผลิตแพ็กเกจจิ้งทดแทนพลาสติก ซึ่งนั่นหมายความว่า ต้นทุน ในการผลิตจะต้องสูงขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Bioplastic ทดแทน หรือหลอดดูดน้ำพลาสติก เปลี่ยนมาเป็นสาหร่ายทะเล และช้อนกินข้าวเปลี่ยนจากพลาสติกมาเป็นแป้งสาลี

ตัวอย่างวัตถุดิบทั้งหมด เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีต้นทุนที่แพงกว่าพลาสติก

หลายคนอาจคิดว่าไม่เห็นเกี่ยวข้องอะไรกับเราเลย เพราะเป็นเรื่องของบริษัทผู้ผลิตพลาสติกที่ต้องหาทางออกกับสิ่งที่รัฐบาลบังคับ

แต่จริงๆ แล้วอีกคนที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ ก็คือ ผู้บริโภคอย่างเราๆ

ลองคิดดู เมื่อต้นทุนแพ็กเกจจิ้งสินค้าเพิ่มขึ้น แน่นอนต้นทุนสินค้า 1 ชิ้นก็ต้องเพิ่มขึ้นตาม

เจ้าของแบรนด์ก็ต้องปรับราคาขาย สุดท้ายแล้วเราอาจจะต้องซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้นกว่าในยุคแพ็กเกจจิ้งพลาสติก

แต่ราคาสินค้าที่น่าจะแพงขึ้นเล็กน้อย เชื่อได้เลยว่า คนไทยทุกคนพร้อมจ่าย

หากจะทำให้ท้องทะเล สิ่งแวดล้อมในวันนี้ ยังคงความสวยงาม ไว้ให้นานที่สุด

เพื่อเก็บเอาไว้… ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online