สถานการณ์ในฮ่องกงที่ยังไม่คลี่คลาย กำลังส่งผลอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลฮ่องกงเผยว่า การประท้วงต่อต้านกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนที่กระจายไปหลายพื้นที่ เช่น ย่านเศรษฐกิจ รวมถึงระบบขนส่งมวลชนและสนามบิน ทำให้ยอดขายในกิจการค้าปลีกเดือนกรกฎาคมปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 136,400 ล้านบาท) ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วถึง 11.4%
ขณะที่ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ของฮ่องกงให้ข้อมูลแย่กว่านั้น โดยส่วนใหญ่ยอมรับตรงกันว่ายอดขายล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมปีนี้ ลดลงจากปีก่อนถึง 50% ยอดขายที่ลดลงอย่างมากในธุรกิจค้าปลีกของฮ่องกงไม่ได้มีที่มาจากการประท้วงเท่านั้น เพราะสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เศรษฐกิจฮ่องกงที่ชะลอตัว และปัญหาการว่างงานก็มีส่วนด้วย
ด้านภาคการท่องเที่ยวของฮ่องกงก็ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งในครั้งนี้ โดยการท่องเที่ยวฮ่องกงประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะจากจีน อาจลดลงถึง 50%
Raymond Yeung หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Australia & New Zealand Banking Group สถาบันการเงินของออสเตรเลียที่เชี่ยวชาญเรื่องจีน คาดว่าหากสถานการณ์ในฮ่องกงยังไม่ดีขึ้น ยอดขายของธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหารจะได้รับผลกระทบมากสุด จนทำให้เศรษฐกิจของฮ่องกงโดยรวมตลอดครึ่งหลังของปีนี้ตกต่ำอย่างรุนแรง
ฝ่ายรัฐบาลฮ่องกงยอมรับว่าเหตุประท้วงครั้งนี้ ส่งผลกระทบรุนแรงกว่าการระบาดของโรค SARS และวิกฤตการเงินโลกเมื่อปี 2008 โดยได้พยายามควบคุมสถานการณ์ด้วยการใช้ตำรวจปราบจลาจล ไปพร้อมๆ กับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 62,000 ล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กและกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัวเรือน
เซินเจิ้น
ส่วนรัฐบาลจีนได้จับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และได้เดินหน้าพัฒนาเมืองเซินเจิ้นให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางทางการเงินแห่งใหม่แทนฮ่องกงในอนาคต/fortune
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ