ล่าสุดธนินท์ เจียรวนนท์ ได้ส่งหนังสือขอความร่วมมือตอบรับนายกฯ

ผมถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำเพื่อประเทศโดยเฉพาะในยามวิกฤต

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) พร้อมสนับสนุนรัฐบาลอย่างเต็มที่ และขอเป็นกำลังใจให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในการนำประเทศชาติ ก้าวผ่านสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ถือเป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรงของประเทศและของโลกในครั้งนี้

และขอยกย่องในความเสียสละของบุคลากรทางการแพทย์ ที่ถือเป็นนักรบแนวหน้าในการรักษาชีวิตพี่น้องประชาชนไทย ทำให้วันนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง (ข้อมูลถึงวันที่ 30 เมษายน 2563) 

นอกจากนี้ ทุกครั้งที่ประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤตในอดีตจนถึงปัจจุบัน จะเห็นความสามัคคี ความร่วมแรงร่วมใจของคนไทยจากทุกภาคส่วนออกมาให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องเสมอมา เช่นเดียวกับวิกฤตในครั้งนี้ ที่จะเห็นได้ว่า ทุกภาคส่วนได้ออกมาร่วมแรงร่วมใจกันทำหน้าที่ของตนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของคนไทยอย่างดีมาโดยตลอด พร้อมทั้งเสนอสิ่งที่ผมและเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้ดำเนินการแล้ว รวมยอดกว่า 700 ล้านบาท พร้อมเสนอโครงการที่จะดำเนินการในระยะต่อไป

นอกจากนี้ เจ้าสัวธนินท์ ยังระบุว่า ในระยะต่อไป สิ่งที่ประเทศไทยควรดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือ การเตรียมการเข้าสู่ช่วงการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องรักษาความเชื่อมั่นและประคองระบบสังคม วิถีชีวิต ให้สามารถดำรงอยู่ได้ ธุรกิจขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ต้องไม่ล้มหายตายจากไป และยังรักษาการจ้างงาน พี่น้องประชาชน จะยังคงมีรายได้เลี้ยงชีพ อาชีพอิสระ อาชีพรับจ้าง เกษตรกร หรือแม้กระทั่งคนว่างงาน จะยังคงมีรายได้เพียงพอในการยังชีพ มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน นอกจากนี้ ในยามที่ฟ้ามืด ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อยามฟ้าสว่าง นั่นคือ การเตรียมแผนฟื้นฟูประเทศไทยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว และหากมองวิกฤตนี้เป็นโอกาส และประเทศไทยกล้าตั้งเป้าหมายให้ “ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก” ทั้งด้านการค้า การลงทุน การเงิน และเทคโนโลยี ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมอยู่แล้ว

ล่าสุด เตรียมเพิ่มงบประมาณโรงงานหน้ากากอนามัยเพิ่มเติมอีก 75 ล้านบาท สำหรับซื้อวัตถุดิบเพิ่มเติมสำหรับโรงงานหน้ากากอนามัย หลังจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงทำให้ความต้องการหน้ากากอนามัยมีเพิ่ม ซึ่งผลของความต้องการหน้ากากอนามัยทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ก็ได้ส่งผลกระทบต่อโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยในไทยเช่นกัน เพราะวัตถุดิบที่สำคัญอย่างแผ่นกั้นเชื้อโรค หรือเมลท์โบลนค่อนข้างหายากและมีราคาสูงมากจากเดิมเฉลี่ย 4 เหรียญต่อกิโลกรัม เป็น 60 เหรียญต่อกิโลกรัม และยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะสามารถควบคุมได้เมื่อใด ทั้งนี้เพื่อให้ผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อแจกฟรีให้กับบุคลากรทางการแพทย์อย่างน้อย 3 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยแจกจ่ายผ่านโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย นั้น
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้สำรองงบประมาณเพิ่มเติมอีก 75 ล้านบาท เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสามารถรองรับการซื้อวัตถุดิบที่มีราคาต้นทุนสูงขึ้นเพื่อใช้ในการผลิต เพื่อการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยได้อย่างต่อเนื่อง

 นอกจากนี้ ได้มีการเตรียมการส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาด้าน Test Kit และการวิจัยวัคซีนและยารักษาโรค โรคระบาดของโรคโควิด-19 ในครั้งนี้ ทำให้เห็นความสำคัญของเรื่องระบาดวิทยา ซึ่งที่ผ่านมา อหิวาตกโรค กาฬโรค โรคฝีดาษ และไข้หวัดใหญ่ ได้เคยทำให้สูญเสียประชากรทั่วโลกไปเป็นจำนวนไม่น้อย และยังมีแนวโน้มในการเกิดโรคระบาดใหม่ในอนาคต

ดังนั้น การค้นคว้าวิจัยจึงมีความสำคัญมาก ทั้งนี้ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูง รวมถึงมีศูนย์วิจัยระดับชั้นนำของโลก ทั้งนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์จึงได้สนับสนุนทุนวิจัย และสร้างความร่วมมือด้านงานวิจัยและพัฒนากับสถาบันทางการแพทย์ และศูนย์วิจัยทั้งในและต่างประเทศ เพื่อการค้นคว้าอุปกรณ์ตรวจเชื้อ วัคซีน และยารักษา

ทั้งนี้ธนินท์ทิ้งท้ายว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาถือได้ว่ารัฐบาลได้ออกหลายมาตรการที่ดี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในภาวะวิกฤตโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่องและเห็นผล ดังนั้น โครงการที่เสนอมานี้เป็นเพียงส่วนเสริมในการบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ ข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ในเอกสารฉบับนี้ เป็นมุมมองของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งอยู่ที่ภาครัฐจะเลือกนำไปใช้ตามความเหมาะสม หากมีคำแนะนำสิ่งใดที่ควรทำเพิ่มเติม เครือเจริญโภคภัณฑ์ยินดีให้ความร่วมมือกับภาครัฐ 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer