เปิด รายได้หนังไทย ลมหายใจรวยริน หรือว่า กำลังกลับมา ?
พี่มาก..พระโขนง สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของหนังไทยที่ทำยอดรายได้ถึง 1,000 ล้านบาทเมื่อปี 2556 แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีเรื่องไหนทำได้อีกเลย และรายได้ของหนังไทยก็มีแต่ลดลงจนน่าใจหาย
ปี 2560 ที่ผ่านมามีหนังฉายในเมืองไทยประมาณ 275 เรื่อง มีรายได้ประมาณ 4,250 ล้าน เป็นหนังไทย 40 เรื่อง รายได้ 439 ล้าน หรือประมาณ 10% ของรายได้ทั้งหมด
ใน10 อันดับแรกที่ทำรายได้สูงสุด มีเพียงฉลาดเกมส์โกงเพียงเรื่องเดียวที่ทำ รายได้หนังไทย สูงถึง 112 ล้านบาท
รองลงมาคือส่มภัคเสี้ยน 76 ล้าน มิสเตอร์เฮิร์ท 71 ล้าน เพื่อนที่ระลึก 35 ล้าน ไทยแลนด์โอนลี่ 25 ล้าน สลัมบอย 18 ล้าน โอเวอร์ไซส์..ทลายพุง 15 ล้าน นายทองดี ฟันขาว 13 ล้าน สยามสแควร์ 9 ล้าน และสาระแน เลิฟยู 7 ล้าน รวม 10 เรื่องประมาณ 384 ล้านบาท( จากรายได้ทั้งหมด 439 ล้าน)
หมายความว่าหนังไทยที่เหลืออีก 30 เรื่อง มีรายได้รวมกันเพียงแค่ 55 ล้านบาท แล้วรายได้ที่ว่านี้ยังต้องแบ่งกับทางโรงภาพยนตร์คนละ 50-50 อีกด้วย
เป็นตัวเลขที่ตอกย้ำให้เห็นชัดๆว่า “เจ๊ง” ไม่ใช่ “เจ๊า” แน่นอน
แล้วอนาคตธุรกิจหนังไทยจะเป็นอย่างไร ค่ายหนังขวัญใจคนไทยอย่าง GDH ที่ทรานส์ฟอร์มมาจาก GTH จะรับมือกับศึกครั้งนี้แบบไหน
ลองมาฟังความคิดเห็นของ จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด กับ ยงยุทธ ทองกองทุน ผู้บริหารบริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า กันว่าอนาคตหนังไทยจะไปทางไหนและ GDH เตรียมรับมือกับวิกฤติครั้งนี้อย่างไร

ยุคทองของหนังไทย ผ่านมา แล้วก็ ผ่านไปเร็วเหมือนลมพัด
ในอดีตยุคทองของหนังไทยมีปีละมากมายเป็นร้อยเรื่อง ยงยุทธเล่าว่า
“สมัยที่ผมยังเป็นเด็กมีหนังไทยออกมาฉายปีละไม่รู้กี่ร้อยเรื่อง เป็นยุคสมบัติ อรัญญา, สันติสุข จินตหรา จนมาถึงช่วงปีวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 หนังฝรั่งเริ่มเข้ามาเยอะขึ้น หนังไทยจากปีละหลายร้อยเรื่องลดลงลงเหลือปีละไม่ถึง10เรื่อง ปี2543ที่พวกผมทำสตรีเหล็ก เหลืออยู่แค่ 8 เรื่องเอง”
หลังจากนั้นได้เกิดปรากฎการณ์ใหม่ของหนังไทย เริ่มจากคนในแวดวงโฆษณา เข้ามาทำหนังไทยเยอะขึ้นสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ ของหนังไทยที่มีภาพสวย มุมกล้องดี ทำให้หนังไทยเริ่มเฟื่องฟูขึ้นมาอีกครั้ง หนังไทยเกือบทุกเรื่องถูกเลือกเอาไปฉายตามเทศกาลหนังใประเทศต่างๆ แต่พอผ่านไป 2-3ปี ด้วยความที่หนังมีความเป็นแฟชั่น บางช่วงจะฮิตหนังจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บางช่วงจะหมุนไปอยู่แถบลาตินอเมริกา ทำให้หนังไทยซึ่งไม่สามารถทำให้ตัวเองยืนอยู่ได้อย่างแข็งแรง หรือรักษาความน่าสนใจให้กับคนดูได้ ก็เลยลดระดับความน่าสนใจลงอีกครั้ง
“ผมว่าการทำหนังมันเหมือนเล่นกอลฟ์คือต้องแข่งกับตัวเอง ในขณะเดียวกันคู่แข่งของเราคือหนังต่างประเทศก็เข้ามาเยอะ ทางเลือกของคนดูก็จะมากขึ้น สุดท้ายจะไปจบที่หนังเรื่องไหนที่คนอยากดูเขาก็จะดู เพราะฉนั้นถ้าเรารักษาความน่าสนใจไว้ไม่ได้ในขณะตัวเลือกที่น่าสนใจก็มีอยู่ เขาก็ไม่เลือกเรา”
หนังไทยทำเป็นอาชีพ ยาก
จากตัวเลขข้างบนเห็นได้ชัดเจนว่าหนังไทยอยู่ในยุคซบเซา ตัวหนังน้อยลง รายได้ก็น้อยลง
จิน่าเสริมว่าถ้าบอกว่าบ้านเราหนังไทยเป็นอุตสาหกรรมคงไม่ใช่ เพราะคำว่าอุตสาหกรรม ต้องหมายถึงสิ่งที่ทำเป็นอาชีพได้ คือทำแล้วไม่ขาดทุนมีเงินพอที่จะหล่อเลี้ยงพนักงานให้มีความสุข ที่ผ่านมาตั้งแต่เราเป็นเด็กจะได้ยินไม่กี่บริษัทที่ทำหนังไทย สหมงคลฟิล์ม ไฟว์สตาร์ ไทเอนเตอร์เทนเมนท์ แต่การที่จะให้เป็นอุตสาหกรรมหมายถึงบริษัทเหล่านั้นต้องเติบโตอย่างต่อเนื่องมั่นคงด้วย
ปัญหาหลักๆที่ต้องเจอเมื่อต้องการทำเป็นอาชีพคือ 1. คุณต้องมีเงินทุน สายป่านต้องยาวพอสมควร 2.คนทำงานต้องเชื่อก่อนว่าเราจะทำหนังไทยเป็นอาชีพได้ ไม่ใช่ทำหนังออกมาจำนวนหลายเรื่องแต่ส่วนใหญ่ขาดทุน แล้วไปเรียกว่าเป็นอุตสาหกรรม
“ที่ผ่านมาหนังไทยที่ไม่ขาดทุนมีไม่เกิน 10 % จาก100 % แล้วจะเรียกว่าเป็นอุตสาหกรรมได้อย่างไร และพอไม่เชื่อว่าจะเป็นอาชีพได้คนที่เข้ามาก็จะเป็นฟรีแลนซ์ที่เข้ามาเป็นครั้งคราวหาเงินทุนได้ก็มาทำ การพัฒนาคุณภาพหนังอย่างต่อเนื่องเลยไม่เกิด”



อุปสรรคสำคัญในการทำหนังไทยซึ่งส่งผลให้คนไม่ดูหนังไทย
1.หนังไทยไม่มีคุณภาพ คนดูตอนนี้ฉลาดพอที่จะรู้ว่าหนังแบบไหนมีคุณภาพคุ้มเวลา คุ้มราคาตั๋วที่ตอนนี้แพงมาก ถ้าไม่รู้สึกว่าดี คนดูจะไม่ต้องการเสียเงิน เสียเวลา เขาต้องมั่นใจว่าสิ่งที่เขาอยากได้ต้องมีในหนัง
2.ขาดบุคลากรที่ดี ตั้งแต่การเขียนบท โปรดิวเซอร์ ไดเรกเตอร์ เมื่อไม่มั่นใจว่าหนังไทยจะเป็นอาชีพได้บุคลากรที่จะสร้างหนังคุณภาพได้เลยมีน้อย
3.ผลตอบรับที่บอกต่อว่าหนังดีหรือไม่ดี เร็วมาก ทำให้มีแต่หนังคนดูกับคนไม่ดู ตัวเลขกลางๆไม่มีอีกต่อไป ถ้าดีก็คือดีเลย แต่ถ้าไม่ดีคือเจ๊งเลยการที่จะพัฒนาความคิดที่เป็น Big Idia ให้เป็นหนังใน 2 ชั่วโมง แล้วโดนใจเข้าถึงคนดูทุกกลุ่มในวงกว้าง เป็นสิ่งที่ยากและไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว
4. ก่อนหนังออกฉาย แค่มีอะไรมาสปอยไอเดียไปนิดหนึ่ง แล้วเกิดกระแสการวิจารณ์ออกไปในโซเชียลในทางลบ ก็ตัดโอกาสการทำเงินไปทันที
5. เวปดูหนังเถื่อนที่มีมากมายในยุคดิจิทัล Disrupt เป็นอีกเรื่องที่ทำให้วงการหนังขาดรายได้ที่ควรได้ และยังทำให้ขายซีดี วีซีดีไม่ได้ ในขณะที่ต้นทุนในการทำหนังเท่าเดิมหรือมีแต่จะมากขึ้นกว่า แต่หนทางสร้างรายได้กลับน้อยลง
ยงยุทธ เสริมว่าอุตสาหกรรมจะเติบโตได้ภาครัฐต้องดูแลสนับสนุน อย่างประเทศเกาหลีที่เขาปลูกฝังให้คนของเขาดูหนังเกาหลี มีการส่งเสริมตลอดเวลา รวมถึงโควต้าโรงหนังต้องฉายหนังในประเทศของเขาเท่าไหร่ หนังต่างประเทศเท่าไหร่เช่น 70% คือหนังเกาหลี 30% คือหนังฮอลลีวู้ด ในขณะที่บ้านเรา 70% คือหนังฮอลลีวู้ด หนังไทย 30% อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในบ้านเขาเลยเกิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นที่บ้านเรา ทุกวันนี้ที่อยู่ได้ เพราะทุกคนต้องช่วยตัวเองอย่างมาก
GDH ถ้าไปต่อไม่ได้ เราก็หยุด
จินาเองก็ยอมรับว่า ถ้าวันหนึ่งบริษัทไปต่อไม่ได้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่าหนังไทยทำเป็นอาชีพไม่ได้
“ยุคของพวกเราเริ่มกันตั้งแต่สตรีเหล็ก 15 ค่ำ เดือน 11 เป็นยุคของคนรุ่นใหม่ที่มีความรักอยากทำหนังไทย อยากทำให้เป็นอาชีพ ไม่ใช่แค่เป็นฟรีแลนซ์ จึงมีการสร้างบริษัทหนังขึ้นมาและพยายามเซ็ทอัพทุกอย่างเป็นมืออาชีพ”
คนGDH มี passionอย่างมากๆ ที่จะทำให้หนังไทยเป็นอาชีพหนึ่งให้ได้ ถึงจะลุ่มๆดอนๆ ก็ยังทำ และอย่างหนึ่งที่เราเชื่อมั่นในการทำงานคือต้องการทำหนังให้คนดูมากที่สุด
“ดังนั้นย้ำเลยว่าหนังของเราเป็นพาณิชย์ศิลป์ 100 % ในขณะเดียวกันเราก็มีศิลปะแต่ไม่ใช่พาณิชย์นำศิลปะ หรือศิลปะนำพาณิชย์ เราต้องการให้มีเท่าๆกัน เรารู้ว่าคนไทยในต้องการดูอะไร ดูหนังแบบไหน ยากเกินไปไม่เข้าใจ ง่ายเกินไปไม่มีคุณภาพ ก็ต้องพัฒนาการทำงาน ไปเรื่อยๆ ลองผิดลองถูกแล้วอยู่กับมันให้ได้”
เป็นการลองผิดลองลองถูก ที่เสียเสียเงินไปแล้วมากมายมหาศาล แต่เชื่อว่าจะได้บทเรียนที่มีค่าเพื่อการก้าวไปในเส้นทางที่ถูกต้อง
ส่วนอนาคตของ GDH จะเป็นแบบไหน เธอบอกตอบไม่ได้ แต่ปัจจุบันบอกได้ว่า ข้มแข็ง และยังอยู่ได้ เพราะว่าความที่เชื่อในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่เชื่อว่ าจะออกมาดีแน่นอน แต่ถ้าทำออกมาคนดูไม่ยอมรับ ต้องกลับมาดูว่าเราเองผิดพลาดอะไรแล้วเริ่มทำใหม่
“ที่บอกว่าเข้มแข็งเพราะเราเลี้ยงบริษัทได้ มีพนักงานประจำเกือบ 200 คน ไม่รวมฟรีแลนซ์ แปลว่าศิลปะกับพาณิชศิลป์ต้องบาลานซ์กันให้ได้ 16 ปีนี้โชคดีว่า เรายังอยู่ได้”
เมื่อพูดถึงหนังทำรายได้ 100 ล้าน แบ่งครึ่ง 50/50 ให้โรงภาพยนตร์ 50 กว่าล้านบาท ที่เหลือหักเป็นต้นทุนการผลิต บริษัทได้กำไรประมาณ 20 กว่าล้าน ในขณะที่ GDH มีพนักงานประจำอยู่ประมาณ 70 คน มีค่าใช้จ่ายประจำเรื่องเงินเดือน ค่าเช่าออฟฟิศ ไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท ต่อปี ดังนั้นต้องหาเงินกำไรให้ได้มากกว่าปีละ 60 ล้านบาท หมายถึงต้องทำหนังให้ถึง 100 ล้านบาท ปีละประมาณ 2-3 เรื่อง
อย่างปี 2560 ที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นปีที่รอดพ้น เพราะฉลาดเกมส์โกงช่วยชีวิตไว้ได้เพราะนอกจากทำยอดเกิน 100 ล้านในเมืองไทยแล้ว ยังไปทำรายได้ได้ดีในต่างประเทศด้วย ถึงแม้ว่าเรื่องเพื่อนที่ระลึกจะขาดทุนก็ตาม
“เราต้องค่อยๆสร้างแบรนด์ สร้างคุณภาพให้คนดูไว้ใจ แต่ก่อนหนังไทยไม่มีทางที่จะมีรายได้ไปชนะหนังฮอลลีวูด แต่วันที่เราทำพี่มาก..พระโขนง ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นมา เป็นหนังเรื่องแรกที่น็อคหนังฮอลลีวูดได้ ทำให้เกิดศรัทธาที่จะทำมันต่อไป ในขณะเดียวกันเราสะสมงานและคนมา 16 ปี มีคนที่พร้อมเรียนรู้และเชื่อไปกับเรา ซึ่งตอนนี้ค่ายอื่นก็กำลังทำอยู่ก็ต้องให้กำลังใจเขาเช่นกัน”
คัมภีร์ความสำเร็จในการทำหนังของ GDH
จินาได้สรุป Key Success ในการทำหนังให้สำเร็จว่ามี 4 เรื่องสำคัญคือ
1.ต้องมีการลงทุนอย่างจริงจังเพื่อคุณภาพที่ดี ถึงแม้รายได้จะหดหายก็จำเป็นต้องทำ ให้คนดูได้เห็นความแตกต่างของการดูในโรงหนัง ว่าได้อรรถรสมากกว่าดูในจออื่นๆมากมาย
“พี่เก้ง (จิระ มะลิกุล) บอกว่าเวลาคิดบิ๊กไอเดียต้องคิดแบบพาดหัวไทยรัฐ สมัยก่อนไทยรัฐพาดหัวข่าวได้สุดยอดครีเอทีพเลย คนต้องซื้อไปดู แต่บางทีพาดหัวกับข่าวคนละเรื่องเลย แต่หนังต้องทำให้ได้ทั้ง 2 อย่าง พาดหัวเรียกคนแล้ว เนื้อหนังต้องดีด้วย”
2. สิ่งที่ต้องทำก็คือแปลกสดและใหม่ ถ้าไม่เข้ากรอบ 2 เรื่องนี้ เราจะไม่ทำ อย่างเช่นถ้าให้ทำรถไฟฟ้าภาค 2 พี่มาก..พระโขนง ภาค 2 ง่ายมาก แต่ถ้าคนทำไม่อินแล้วก็ไม่อยากทำเพราะ ซ้ำๆไม่สดไม่ใหม่
3. ต้องวางแผนควบคู่ไปกับการโปรโมทที่ดี ช่องทางออนไลน์มีประโยชน์มากในเรื่องของการประชาสัมพันธ์
4. ไม่คิดแบบมาเก็ตติ้งก่อนคอนเทนท์ เราคิดหนังที่ดีออกมาก่อน มาร์เก็ตติ้งถึงตามมา แต่คนจะชอบที่เรามาเก็ตติ้งเก่ง แต่จริงๆแล้วเป็นเพราะแบรนด์ดิ้งเราแข็งแรง ลูกค้าเลยให้การยอมรับ
“ ถึงแม้จะมีกระบวนการทำครบทั้ง 4 เรื่อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จ 100% เราต้องลุ้นอีก แปลก สดใหม่ ขนาดนี้ จะใช่ไม่ใช่ เป็นการลองผิดลองถูกทุกครั้ง แต่เราก็หวังว่าจะทำให้เราพลาดน้อยลง”
ปัจจุบันแต่ละปี หนังของGDH จะออกมาอย่างน้อยประมาณ 2 เรื่อง ใช้งบโปรดักชั่นกับโปรโมทต่อเรื่องไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท งบโปรโมทจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะจำนวนโรงหนังเพิ่มขึ้นเกือบทุกปี
“เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่ลดลงในด้านเชิงค่าใช้จ่าย แต่รายรับลดลงลง ตั๋วแพงขึ้น+การแข่งขันต่างๆ พอหนังรายได้น้อยกว่าโรงหนังก็จะเอาหนังใหม่ที่มีโอกาสสร้างรายได้มากกว่าเข้ามาแทนก็ต้องสู้ สู้ทุกขั้นตอน”
ที่สำคัญ อย่าหลงตัวเอง
จินากล่าวว่า สมัยก่อนคิดทำหนังมาเรื่องหนึ่ง พอเชื่อว่าดีก็ทำเลย จนยุคหนึ่งเมื่อประมาณเกือบสิบปีที่ผ่านมา มีการปรับโครงสร้างการทำงานเพิ่มขึ้น โดยเจ้าของโปรเจ็คต้องพูดให้ชนะใจทีมของกรรมการบริหารอย่างน้อย 8 คน จาก 12 คน ถ้า 8 คนนี้สนใจ ก็เหมือนชนะใจคนดูแล้ว เพราะทีมนี้มีคนที่รับผิดชอบงานที่หลากหลายมาช่วยกันระดมสมอง มองต่างมุม ทำให้ทุกคนรู้ปัญหาไปพร้อมๆกัน และช่วยกันหาทางออกที่ดีที่สุด
ด้วยวิธีคิดนี้ทำให้ทำหนังอย่างระวังมากขึ้น GDH เองจากการสร้างปีละประมาณ 5-6 เรื่อง ตอนนี้เหลือเพียงปีละประมาณ 2-3 เรื่อง
“เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากจะบอกคือว่าในการทำหนังมันมีทั้งคนอยากดูและไม่อยากดูเท่านั้นเอง ก็กลับไปที่เราคุยตั้งแต่ต้น เราเชื่อและศรัทธาในสิ่งที่เราอยากทำ และต้องสร้างคนไปพร้อมๆกัน”
จินา สรุปก่อนทิ้งท้ายว่าวันที่ 10 พค.61 นี้ ก็ต้องลุ้นกันอีกครั้งกับหนังเรื่องใหม่ “น้อง.พี่.ที่รัก” ที่ทุกอย่างผ่านกระบวนความคิดที่ดี ผ่านคณะกรรมการมาแล้ว แต่จะ“โดน” คนดูอีกหรือไม่ เป็นเรื่องที่ตอบยากจริงๆ

รายได้หนังไทย 3 ปี ย้อนหลัง (2558-2560)
ปี2558 ประมาณ 55 เรื่องรายได้ 648 ล้าน
ปี 2559 ประมาณ 45 เรื่องรายได้ 562 ล้าน
ปี 2560 ประมาณ 40 เรื่อง รายได้ 439 ล้าน
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
