เครดิตบูโร ทำความรู้จักกับบริษัทที่เกิดหลังต้มยำกุ้งที่สำคัญกับชีวิตเรามาก
เวลาขอสินเชื่อ ขอกู้เงิน ขอทำบัตรเครดิต เราจะได้ยิน หรือได้อ่านเสมอว่า สถาบันการเงินที่เราไปทำเรื่องด้วย จะขอเช็กข้อมูลเราจากเครดิตบูโร
ถ้าข้อมูลในเครดิตบูโรเราไม่ดี โอกาสที่จะไม่ได้รับการอนุมติสินเชื่อก็มีสูง โดยเฉพาะถ้าข้อมูลเราติดแบล็กลิสต์ เครดิตบูโรด้วยแล้ว โอกาสในการรับอนุมัติสินเชื่อยิ่งแทบเป็นศูนย์
แล้วทำไมเครดิตบูโรถึงมีความสำคัญในโลกของสินเชื่อล่ะ
เครดิตบูโรเป็นหน่วยงานกลางที่ตั้งขึ้นมาหลังวิกฤตทางการเงินต้มยำกุ้งในประเทศไทย จากการที่รัฐบาลปลอยค่าเงินบาทลอยตัวในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 หลังจากที่รัฐบาลไม่สามารถตรึงค่าเงินบาทไว้ที่ 25 บาท ต่อดอลลาร์ได้ เนื่องจากเงินสำรองระหว่างประเทศหมดคลังจากการโจมตีค่าเงินอย่างหนักของกองทุน Hedge Fund ของจอร์จ โซรอส
เพราะก่อนหน้านั้นเมื่อค่าเงินบาทอ่อนตัว รัฐบาลไทยจะนำเงินคลังที่มีอยู่ออกมาอุ้มค่าเงินเพื่อให้การเงินมีเสถียรภาพ
การปล่อยลอยตัวค่าเงินบาท ส่งผลอย่างมากกับเศรษฐกิจไทย จากค่าเงินบาทคงที่ 25 บาทต่อ 1ดอลลาร์สหรัฐ เกิดอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็ว และอ่อนตัวสูงสุดถึง 52 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดวิกฤตทางการเงินที่ล้มเป็นโดมิโนตามมา
เนื่องจากว่าก่อนปี 2540 เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง สินค้าราคาแพงแค่ไหนก็สามารถขายได้
เศรษฐกิจในเวลานั้นถือว่าดีมาก เกิดการใช้จ่ายกันในประเทศอย่างอู้ฟู้ ประกอบกับรัฐบาลเปิดเสรีทางการเงิน สถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่ต่างกู้เงินต่างประเทศในสกุลเงินต่าง ๆ ที่มีดอกเบี้ยต่ำมาปล่อยกู้ในประเทศในอัตราที่สูง และแม้ดอกเบี้ยที่ปล่อยมีอัตราสูงก็มีผู้กู้จำนวนมาก เพราะมองว่าเงินที่กู้ไปสามารถนำมาลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยที่จ่ายไปได้
ตอนนั้นใคร ๆ ก็มองว่าเศรษฐกิจในประเทศไทยดีเกินไป จนเกิดภาวะฟองสบู่ที่รอวันแตก
และฟองสบู่ก็แตกจริง จนเกิดการล้มละลาย เกิดหนี้มหาศาลจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินต่างประเทศที่เคยกู้มา มีการปิดตัวบริษัท สถาบันการเงินจำนวนมาก รวมถึงธนาคารพาณิชย์อีกหลายแห่ง
หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยต่างผลักดันโครงการศูนย์กลางข้อมูลเครดิตขึ้นมา เพื่อเป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลลูกค้าสินเชื่อ ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการให้สินเชื่อ เพื่อป้องกันปัญหาหนี้เสียในระบบเศรษฐกิจ หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
แต่โครงการศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลลูกค้าสินเชื่อที่กล่าวมา กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยต่างไม่ยอมจับมือร่วมกัน ทำให้ศูนย์ข้อมูลเครดิตกลางเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 2 บริษัท
บริษัทแรกชื่อว่า
บริษัท ข้อมูลเครดิตไทย จำกัด
เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดยกระทรวงการคลังที่มอบหมายให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์เป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิต เนื่องจากในเวลานั้น ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้รับผิดชอบดูแลธนาคารอาคารสงเคราะห์อยู่
หน้าที่หลักของ บริษัท ข้อมูลเครดิตไทย จำกัด ทำหน้าที่รวมข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์สินเชื่อและลดภาระหนี้เสียของสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาใหญ่และเร่งด่วนของสถาบันการเงินในประเทศอยู่ในขณะนั้น

บริษัทที่สองชื่อว่า
บริษัท ระบบข้อมูลกลาง จำกัด
เป็นบริษัทที่จัดตั้งโดยธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย มีธนาคารพาณิชย์ไทย 13 แห่งที่เป็นสมาชิกสมาคมธนาคารไทยเป็นผู้ถือหุ้น ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ข้อมูลเครดิตกลาง จำกัด ในปี 2543 จากการมีพันธมิตรที่เพิ่มขึ้น
จุดเริ่มต้นของบริษัท ระบบข้อมูลกลาง จำกัด มีจุดมุ่งหมายหลักคือศูนย์รวบรวมข้อมูลสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก เพื่อแหล่งข้อมูลให้สถาบันการเงินต่าง ๆ ได้ใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์สินเชื่อ ซึ่งข้อมูลที่ให้บริการมีทั้งให้ข้อมูลเครดิตของบุคคลธรรมดา และข้อมูลเครดิตเชิงพาณิชย์
จนในปี 2548 บริษัท ข้อมูลเครดิตกลาง จำกัด ควบรวมกิจการกับ บริษัท ข้อมูลเครดิตไทย จำกัด ที่ก่อตั้งจากนโยบายของกระทรวงการคลัง และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด
การเปลี่ยนแปลงสู่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น มีผู้ถือหุ้นในบริษัท ข้อมูลเครดิตไทย จำกัด เดิม และธนาคาร รวมทั้งสถาบันการเงินของรัฐเข้ามาถือหุ้นด้วย
การรวมกิจการครั้งนั้นทำให้ศูนย์ข้อมูลเครดิตกลาง หรือเครดิตบูโร เหลือให้บริการเพียงหนึ่งเดียว
ซึ่งรายได้หลักจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เป็นรายได้ที่มาจากค่าธรรมเนียมจากสถาบันการเงิน ธนาคาร และบุคคลทั่วไปที่ต้องการเช็กข้อมูลเครดิต โดยบุคคลทั่วไปจะเสียค่าบริการ 100-150 บาท ขึ้นอยู่กับช่องทางที่ขอรับบริการ ส่วนสถาบันการเงิน และธนาคาร ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเช็กเช่นกัน
การเช็กข้อมูลเครดิตทางฝ่ายสถาบันการเงินและธนาคารจะต้องได้รับความยินยอมจากบุคคล หรือบริษัทที่จะให้บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เช็กข้อมูลก่อนเท่านั้น
โดยข้อมูลที่ได้รับจาก บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ประกอบด้วยข้อมูล 2 ส่วนดังนี้
- ข้อมูลส่วนตัว บุคคลทั่วไป ประกอบด้วย ชื่อ วันเดือนปีเกิด อาชีพ ที่อยู่ สถานภาพการสมรส, นิติบุคคล ประกอบด้วย ชื่อ สถานที่ตั้ง และเลขจดทะเบียน
- ข้อมูลด้านสินเชื่อทั้งหมดของบุคคลหรือบริษัทนั้น ๆ เช่น สินเชื่อบ้าน รถ การค้ำประกัน และประวัติการชำระหนี้
ใน 3 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลรายได้จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด มีรายได้ดังนี้

ซึ่งรายได้ของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด จะเป็นรายได้ที่แปรผันตามจำนวนผู้ยื่นเรื่องขอสินเชื่อและเครดิตต่าง ๆ เพราะการยื่นเรื่อง 1 ครั้ง สถาบันการเงินและธนาคารจะทำเรื่องไปที่บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เพื่อขอดูเครดิตบูโรของ 1 ครั้งเพื่อประกอบการตัดสินใจอนุมัติเสมอ
และการที่เครดิตบูโรขยายช่องทางการตรวจเช็กเครดิตของภาคประชาชนทั่วไป ตามสถานที่ชุมชนต่าง ๆ เช่น บีทีเอส รวมถึงการจับมือกับธนาคารเพื่อขอข้อมูลเครดิตบูโรผ่านช่องทางออนไลน์ และไปรษณีย์ไทยได้ ทำให้คนทั่วไปสามารถขอเช็กข้อมูลของตัวเองได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น เพราะวันนี้คนทั่วไปประสบปัญหามิจฉาชีพแอบอ้างชื่อนำไปกู้เงิน หรือสินเชื่อต่าง ๆ ก็มีมากเช่นกัน
ปัจจุบันบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด มีสมาชิกที่นำข้อมูลมาใช้ร่วมกันทั้งสิ้น 103 สถาบันการเงิน มีฐานข้อมูลลูกหนี้ 108 ล้านบัญชี ครอบคลุม 28 ล้านลูกหนี้
ความจริงแล้วศูนย์ข้อมูลเครดิตกลางไม่ได้เริ่มต้นครั้งแรกจากนโยบายในปี 2541
ก่อนหน้านั้นธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นตัวกลางในการรวบรวมข้อมูลเครดิต ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้เริ่มงานทะเบียนเครดิตกลางขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507
การเป็นตัวกลางรวบรวมข้อมูลเครดิตของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2504 ที่กลุ่มสมาคมธนาคารไทยหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิต จากความต้องการให้มีแหล่งกลางสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ เพื่อลดความเสี่ยงในการให้กู้ และป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับธนาคารพาณิชย์
และโครงการนี้มีการพัฒนาและหาแนวทางในการจัดตั้งอย่างต่อเนื่อง จนปี 2538 กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ นำการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิต เข้าไปอยู่ในแผนพัฒนาระบบการเงิน แต่โครงการนี้ถูกยกเลิกเพราะเศรษฐกิจต้มยำกุ้งที่ผ่านมา
Marketeer FYI
คนไทยขอข้อมูล เครดิตบูโร เท่าไร
ไตรมาสแรก 2563 มีธุรกรรมการขอสินเชื่อใหม่ 4.5 ล้านใบสมัคร
ขอข้อมูลดูสถานะของลูกค้าเก่าเพิ่มขึ้น 16 ล้านครั้ง จากที่ปี 2562 มี 55 ล้านครั้ง
หนี้ครัวเรือนไทย 13.3 ล้านล้านบาท เป็นหนี้ที่อยู่ในข้อมูลเครดิตบูโร 11.7 ล้านล้านบาท
ที่เหลือเป็นหนี้สหกรณ์ และกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
