อีกไม่กี่วันปี 2020 ของคนทั่วโลกกำลังจะผ่านพ้นไป สำหรับชาวอเมริกันคงต้องบอกว่าปีนี้ลืมไม่ลงจริงๆ เพราะได้ Joe Biden เป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ หลังการเลือกตั้งท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 และท่าทีแบบ “ยืนกระต่ายขาเดียว” ไม่ยอมแพ้ของประธานาธิบดี Donald Trump จนการถ่ายโอนอำนาจไม่ราบรื่น
Donald Trump ได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐ หลังมีชัยในการเลือกตั้งปี 2016 เหนือ Hillary Clinton แบบพลิกความคาดหมาย
ทว่าตลอดการดำรงตำแหน่ง Donald Trump กลับสร้างปัญหาไว้มากมาย โดยชัดเจนที่สุดคือความแตกแยกในประเทศ และการดำเนินนโยบายแข็งกร้าวกับจีน จนบานปลายกลายเป็นสงครามการค้า ซึ่งสมรภูมิหลักอยู่ที่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยี เช่น Huawei และ TikTok
ปีนี้สถานการณ์ของ Donald Trump ยิ่งแย่ลงอีก หลังรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ผิดพลาด ล่าช้าและไม่เชื่อคำแนะนำของแพทย์
จากความผิดพลาดเหล่านี้ที่สุด Donald Trump จึงแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีให้ Joe Biden สมาชิกวุฒิสภามากประสบการณ์และอดีตรองประธานาธิบดีสมัย Barack Obama
อย่างไรก็ตาม การถ่ายโอนอำนาจกลับไม่ราบรื่นเหมือนช่วงเปลี่ยนผ่านประธานาธิบดีสหรัฐหลายคนที่ผ่านมา เพราะ Donald Trump ยังคงไม่ออกมายอมรับความพ่ายแพ้อย่างเป็นทางการ
จนเป็นที่จับตาว่าในพิธีสาบานเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ Joe Biden และรองประธานาธิบดีของ Kamala Harris ในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า Donald Trump จะมาเข้าร่วมด้วยหรือไม่
ย้อนรอยทางวิบากสู่ทำเนียบขาวของ Joe Biden
ด้วยอายุ 78 ปี ทันทีที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งต้นปีหน้า Joe Biden จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอายุมากสุด นั่นหมายความว่า เขาย่อมต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ไม่ว่าเป็นเรื่องราวในชีวิตและเส้นทางการเมือง
เส้นทางการเมืองของ Joe Biden เริ่มขึ้นเมื่อปี 1972 หลังชนะการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกรัฐ Delaware โดยชัยชนะของเขากลายเป็นหนึ่งในข่าวดังที่กระทบใจอเมริกันชนของปีนั้น
เพราะเขาเป็น สว. อายุน้อยสุดด้วยวัยเพียง 30 ปี ที่ทำพิธีสาบานตนในโรงพยาบาล ข้างเตียงลูกชายสองคนที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่คร่าชีวิตภรรยาคนแรกกับลูกสาวไป
อีกหลายปีจากนั้นชาวอเมริกันก็ได้รู้ได้เห็นความก้าวหน้าทางการเมืองของ Joe Biden ตลอดทั้งการได้เป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการต่างประเทศของวุฒิสภาแบบต่อเนื่องยาวนาน และการลงเลือกตั้งประธานาธิบดี 2 ครั้ง
ครั้งแรกในปี 1988 และครั้งที่ 2 ปี 2008 โดยครั้งหลังนี่เองพา Joe Biden เข้าสู่ทำเนียบขาว ในฐานะรองประธานาธิบดีสมัยของ Barack Obama
ระหว่างหาเสียง Joe Biden ช่วย Barack Obama ได้มากเพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทกับ John McCain คู่ชิงประธานาธิบดีสังกัดพรรค Republican และยังมีชัยในการโต้วาทีประชันวิสัยทัศน์เหนือ Sarah Palin อีกด้วย
หลังหมดวาระการดำรงตำแหน่งพร้อม Barack Obama Joe Biden ก็หายหน้าไปจากแวดวงการเมืองสหรัฐ ต่างจากอดีตรองประธานาธิบดี คนก่อนๆ เช่น George H. Bush และ Al Gore ที่ลงเลือกตั้งชิงประธานาธิบดีต่อเลย ซึ่งในจำนวนนี้บางคนเช่น George H. Bush ได้ขึ้นสู่จุดสูงสุด หลังชนะเลือกตั้งจนเป็นประธานาธิบดี
แต่ที่สุด Joe Biden ก็กลับสู่แวดวงการเมืองระดับชาติอีกครั้ง ด้วยการประกาศขอลงชิงชัยเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยหากได้เป็นตัวแทนพรรค Democrat คู่แข่งของเขาคือประธานาธิบดี Donald Trump ที่ชนะ Hillary Clinton มาได้แบบพลิกความคาดหมายในการเลือกตั้งครั้งก่อนนั่นเอง
ความเป็นไปได้ในการขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมืองของ Joe Biden เริ่มเป็นที่จับตามอง เมื่อช่วงสิงหาคมหลังเขาเลือก Kamala Harris อดีตคู่แข่งร่วมพรรคเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดี
ซึ่งหากทั้งคู่ชนะ พรรค Democrat จะคืนสู่ทำเนียบขาว หลังปล่อยให้พรรค Republican ครองอยู่เพียง 4 ปี พร้อมสร้างประวัติศาสตร์ ด้วยประธานาธิบดีอายุมากสุด และรองประธานาธิบดีหญิงคนแรก
ถัดจากนั้นโลกจับตามองการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งนี้แบบไม่กระพริบตา เพราะเป็นการเลือกตั้งแบบ New Normal จากผลกระทบของวิกฤตโควิด และยังมีการเถียงกันไปมาระหว่างโต้วาทีแสดงวิสัยทัศน์ทางโทรทัศน์จนแทบไม่ได้กล่าวถึงนโยบาย ของคู่ชิงประธานาธิบดีและคู่ชิงรองประธานาธิบดี
ความวุ่นวายในเหตุดังกล่าวฉุด Rating การประชันวิสัยทัศน์ทางโทรทัศน์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีตกต่ำมากสุดในรอบหลายปี ขณะเดียวกันหลังการเลือกตั้ง Donald Trump ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ จนทำให้การถ่ายโอนอำนาจไม่ราบรื่น
Donald Trump ยังคงไม่ยอมเสียหน้า โดยแม้เขาทยอยลดความแข็งกร้าวและอนุญาตให้คณะทำงานในทำเนียบของตนถ่ายโอนข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นให้ทีมงานของ Joe Biden มากขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังไม่ยอมออกมาแสดงความยินดีต่อชัยชนะของ Joe Biden ตามที่คนทั่วโลกยังอยากเห็นและขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองของสหรัฐ
ส่วนทาง Joe Biden เริ่มตั้งรัฐบาลสหรัฐชุดใหม่มาตั้งแต่ช่วงปลายพฤศจิกายนเป็นต้นมา เริ่มจากการเลือก Anthony Blinken อดีตรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศสมัย Barack Obama เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเดียวกัน
ตามด้วยการเลือกคนเก่งที่มีภูมิหลังหลากหลายเข้ามานั่งตำแหน่งสำคัญๆ และเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ เช่น Avril Haines เป็นผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติหญิงคนแรก Janet Yellen เป็นรัฐมนตรีคลังหญิงคนแรก
Deb Haaland เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายในเชื้อสายอินเดียนแดงคนแรก และ Pete Buttigieg เป็นรัฐมนตรีคมนาคมคนแรกที่เป็นเกย์อย่างเปิดเผย
จากชัยชนะการเลือกตั้งและการให้โอกาสคนกลุ่มต่างๆ ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงอันสื่อถึงการสร้างความสมานฉันท์ในชาติ ยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นิตยสาร Time เลือก Joe Biden และ Kamala Harris เป็นบุคคลแห่งปี ประจำปี 2020 อีกด้วย / cnn, wikipedia, bbc, time
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline

