“ร้านสะดวกซื้อ” คือหนึ่งในเซกเมนต์ของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ หรือ Modern trade ที่น่าจับตา
แม้ปีที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ไปบ้าง
ศูนย์วิจัยกรุงศรีมองว่า ปี ’64 นี้ ร้านสะดวกซื้อ/มินิ มาร์ท จะเติบโต 1.7-2.8% จากที่ปีโควิดหดตัวไป 9-10%
มุมเติบโตของร้านสะดวกซื้อนี้มาจากการขยายสาขาใหม่ ๆ ที่เหล่าบรรดาบิ๊กเนมจะลงไปเปิดตามซอกซอย ชุมชน เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค
การเติบโตของจำนวนสาขานี้นำมาซึ่งการแข่งขันในตลาดร้านสะดวกซื้อที่มากขึ้น จากที่แต่ละแบรนด์แยกกันหาพื้นที่หารายได้เพื่อชิงฐานลูกค้า
จะเห็นว่าแต่ละแบรนด์งัดกลยุทธ์ งัดสารพัดสินค้า เพิ่มบริการ เพิ่มช่องทางออนไลน์ เดลิเวอรี่ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายที่มากขึ้น
มาดูภาพรวมธุรกิจสมัยใหม่กันว่ามีประเภทไหนบ้าง
เราแบ่งร้าน Mordern Trade เป็น 5 กลุ่มด้วยกัน
1. Department Store หรือที่ในภาษาไทยเรียกว่าห้างสรรพสินค้า ที่ขายสินค้าทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ หรือสินค้าไลฟ์สไตล์
โดยห้างสรรพสินค้ามักจะเน้นการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าที่มาเดิน
ยกตัวอย่างเช่น Paragon, The Mall, Central
2. Discount Store/Hypermarket
ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ที่มีสัดส่วนพื้นที่ให้ลูกค้าได้ซื้อของกินของใช้มากกว่าพื้นที่ในส่วนของร้านอาหาร
เป็นร้านค้าปลีกที่เน้นความหลากหลายของสินค้า รวมไปถึงราคาที่ถูกกว่าร้านค้าปลีกแบบ Supermarket
ยกตัวอย่างเช่น BigC, Tesco Lotus, Makro
3. Supermarket
เน้นขายสินค้าที่เป็นของกินของใช้ โดยนอกจากจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห้างสรรพสินค้าแล้ว ในอนาคตร้านค้าปลีกแบบ Supermarket ยังมีแนวโน้มที่จะเปิดตัวแบบ Stand Alone มากขึ้นเรื่อย ๆ บนทำเลที่เน้นย่านชุมชนและที่อยู่อาศัย
เช่น Gourmet Market, Tops, Villa Market
4. Convenience Store
ร้านค้าสะดวกซื้อ ที่เน้นความรวดเร็วและสะดวกของลูกค้าเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น
7-Eleven, Family Mart, Cj Express
5. Specialty Store
เรียกอีกอย่างว่าร้านค้าปลีกเฉพาะอย่าง โดยจะนำสินค้าหลายแบรนด์ที่อยู่ประเภทเดียวกันมาวางขายในร้านเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น Watson, Banana IT, BEAUTRIUM, B2S
และนอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งกลุ่มที่เรียกว่า Category Killer
ที่เป็นร้านค้าปลีกที่มีความคล้ายคลึงกับ Specialty Store แต่จะแตกต่างตรงขนาดของพื้นที่ ที่ใหญ่กว่า
อย่างเช่น Home Pro, Index Living Mall, ไทวัสดุ
ร้านสะดวกซื้อ ครองส่วนแบ่งด้วยจำนวนสาขามากที่สุดในกลุ่มร้าน Modern trade
โดยเบอร์ 1 ทั้งรายได้และยอดขายคือ 7-Eleven ของเจ้าสัวซีพี ที่มีสาขา ณ ไตรมาส 3/63 12,225 สาขา มีรายได้ระดับสี่แสนล้านบาท
ที่น่าจับตาคือ “CJ EXPRESS” ของเจ้าพ่อคาราบาวกรุ๊ป อย่างเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ที่เป็นแบรนด์ร้านสะดวกซื้อสัญชาติไทยที่พร้อมจะท้าชนกับแบรนด์อื่น ๆ
มีสาขากว่า 500 สาขา ที่ตอนนี้เตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลายปี’65 และตั้งเป้ามีสาขาเพิ่มเป็น 1,000 สาขา ภายใน 3 ปี
(อ่าน https://marketeeronline.co/archives/209717)
รวมถึง Lotus Express อีกหนึ่งขาของเครือซีพี ที่เพิ่งรีแบรนด์ด้วยการปรับสีโลโก้ และเปลี่ยนชื่อเป็น “Lotus’s go fresh” เน้นสินค้าอาหารสด มีสาขา ไตรมาส 3/63 ที่ 1,635 สาขา
(อ่าน https://marketeeronline.co/archives/209561)
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline

