มิตรผล ทำความรู้จักแบรนด์น้ำตาลอันดับหนึ่งทำอย่างไรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ?
สืบเนื่องจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate change) และปัญหาโลกร้อนชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ในช่วงปีที่ผ่านมา เราได้เห็นธุรกิจองค์กรต่าง ๆ บรรจุประเด็นสิ่งแวดล้อมไว้เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังมากขึ้น
“มิตรผล” ที่หลายคนรู้จักในฐานะผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของไทย และอันดับ 5 ของโลก แต่ในอีกมุมคือ หนึ่งในธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ด้วยลักษณะของธุรกิจที่อยู่ในแวดวงเกษตร ทำให้ ‘มิตรผล’ ตระหนักอยู่เสมอว่า ‘สิ่งแวดล้อม’ มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ (value chain) เราจึงได้เห็นความใส่ใจในเรื่องนี้ผ่านนโยบายการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่การทำซีเอสอาร์ การดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม จนคำเหล่านั้นได้เปลี่ยนเป็นเรื่อง “ความยั่งยืน” จากมิตรผลอย่างต่อเนื่องเสมอมา
แล้วในโลกยุคใหม่ที่ปัญหาสิ่งแวดล้อม สังคม ความยั่งยืน และการเติบโตของธุรกิจ กลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกันจนแยกไม่ออกนั้น มิตรผลมีแนวทางการจัดการเรื่องนี้อย่างไร
ในโอกาสนี้ Marketeer จะพาไปฟังมุมมอง แนวคิด และก้าวต่อไปของมิตรผล บนเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยหยุดคิดเพื่อความยั่งยืน จาก คุณบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร กลุ่มมิตรผล
มุมมองเรื่อง ‘ความยั่งยืน’
ทุกวันนี้โลกหมุนเร็วกว่าเดิม ทั้ง Mega Trend ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันจากทั่วทุกมุมโลก หรือเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เช่น Metaverse ตลอดจนการเกิดโรคระบาด COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลก รวมไปถึงเรื่องความยั่งยืนที่อยู่ในธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
“กลุ่มมิตรผลเองเป็นองค์กรที่อยู่ในภาคเกษตรอุตสาหกรรม และมีความเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้เราคิดอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างไรให้ชาวไร่มีผลผลิตที่ดี ชุมชนมีชีวิตความเป็นอยู่และอาชีพที่มั่นคง ผู้บริโภคมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ปัจจุบันได้มากขึ้น ทำอย่างไรให้ทุกคนสามารถปรับตัวเพื่อก้าวสู่ความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง”
“กลุ่มมิตรผลจึงมีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามหลักปรัชญา “ร่วมอยู่ ร่วมเจริญ” ธุรกิจต้องเติบโต ในขณะเดียวกันคนรอบข้างเราก็ต้องเติบโต ก้าวไปด้วยกันอย่างมั่นคงและสมดุล”
“Climate Change” ความท้าทายและจุดเปลี่ยนสำคัญของภาคเกษตร
Climate Change ที่เป็นประเด็นร้อนของโลกอยู่ในขณะนี้ ทำให้ทุกอุตสาหกรรมต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด ตลอดหลายปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทยเองก็ต้องเจอกับความท้าทายนี้เช่นกัน
“เราเจอตั้งแต่การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยที่ทำให้แรงงานในภาคเกษตรลดลง สถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลให้ทุกคนต้องปรับตัวสู่การทำงานและใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่ แต่ที่ท้าทายมากที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยเฉพาะ ‘ภัยแล้ง’ ที่ส่งผลให้ปริมาณน้ำสำหรับใช้เพื่อการเกษตรไม่เพียงพอผลผลิตจึงลดลง ในขณะที่บางส่วนก็เสียหาย นี่คือปัญหาความมั่นคงของวัตถุดิบทางการเกษตรและอาหารของไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังสะท้อนถึงคุณภาพชีวิตและรายได้ของเกษตรกร
“กลุ่มมิตรผลมีแนวคิดตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจว่า การดำเนินงานของเราจะต้องช่วยพัฒนาให้คนรอบข้างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีค่า ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และทำให้ภาคเกษตรกรรมของไทยมีความมั่นคง
“ดังนั้น แนวคิด “เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไร้ค่าให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า หรือ From Waste to Value” ที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน จึงเป็นความตั้งใจของเราที่จะคิดค้นวิจัยและพัฒนา จนเกิดเป็นธุรกิจต่อเนื่องจากอ้อยและน้ำตาล เช่น ไม้ปาร์ติเกิลจากชานอ้อย ไฟฟ้าชีวมวล เอทานอล ปุ๋ย เป็นการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างมีคุณค่า ลดการสูญเสีย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน เช่น ชาวไร่ ลูกค้า ชุมชน”
เมื่อวางแนวทางเพื่อพัฒนาต่อยอดธุรกิจในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไว้แล้ว สิ่งที่ลืมไม่ได้เลยคือ การกลับไปดูแลต้นน้ำของวัตถุดิบให้ดี ทำอย่างไรให้ภาคเกษตรไทยมีความยั่งยืน สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะโลกรวนและสภาพอากาศแปรปรวน
“มิตรผลให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก เมื่อ 8 ปีก่อน เราเริ่มศึกษาและเดินทางไปดูการจัดการไร่อ้อยสมัยใหม่ในหลายประเทศทั่วโลก เช่น บราซิล ออสเตรเลีย ทำให้เรามั่นใจว่าประเทศไทยต้องเปลี่ยนโฉมไปสู่การทำเกษตรแบบแม่นยำ (Precision Farming) ที่ใช้เทคโนโลยีและการบริหารจัดการแบบใหม่ที่ดูแลสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย หากเรายังอยู่แบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลงอะไร คุณภาพและผลผลิตจะมีแต่ถดถอยลง แข่งขันกับต่างประเทศไม่ได้
“มิตรผลจึงถ่ายทอดความรู้ในการทำไร่อ้อยสมัยใหม่ “มิตรผล โมเดิร์นฟาร์ม” ที่ใช้เครื่องจักรกลการเกษตรและเทคโนโลยีให้กับชาวไร่ ซึ่งแนวทางนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพราะช่วยลดการเผาอ้อยได้ ลดการใช้ปุ๋ย น้ำ น้ำมันฟอสซิล และมิตรผลยังรับซื้อใบอ้อยที่ได้จากการตัดอ้อยสดเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงไฟฟ้าชีวมวล ส่งเสริมใช้ทรัพยากรหมุนเวียน สร้างรายได้เสริมให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง โดยในปีที่ผ่านมาอ้อยสดกว่า 10 ล้านตันของมิตรผล ช่วยลดการปล่อยก๊าซ CO2 กว่า 127,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า”
เดินหน้าสู่ “Carbon Neutrality และ Net Zero”
นอกจากการพัฒนาเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วนในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ของกลุ่มมิตรผล ที่สอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs)
กลุ่ม มิตรผล ยังได้กำหนดอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญในการก้าวสู่ “องค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2030 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ในปี ค.ศ. 2050” ผ่าน 5 แนวทางหลัก คือ
- ผลักดันเกษตรสมัยใหม่บนมาตรฐานความยั่งยืนระดับโลกเต็มรูปแบบ เดินหน้าสู่เป้าหมายอ้อยสด 100% ลดการใช้น้ำมันฟอสซิล ลดการใช้ปุ๋ย ลดการใช้น้ำ ใช้พลังงานทดแทนในไร่อ้อย
- เพิ่มปริมาณการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น นำใบอ้อย ฟางข้าว มาใช้เป็นเชื้อเพลิงเสริมเพื่อผลิตไฟฟ้าชีวมวล และลดการใช้พลาสติกในทุกบรรจุภัณฑ์
- บริหารจัดการทรัพยากรในกระบวนการผลิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต เพื่อลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้ทรัพยากรน้ำอย่างเหมาะสมและหมุนเวียนกลับมาใช้ซ้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- ลงทุนในธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันเรากำลังเดินหน้าพัฒนาสู่ New S-Curve ของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ซึ่งเป็นธุรกิจ Bio-based ที่มีมูลค่าสูง เช่น เครื่องสำอาง อาหารเสริม ธุรกิจพลาสติกชีวภาพ และธุรกิจ Plant-based Food ซึ่งจะมาทดแทนผลิตภัณฑ์ Petro-based
- ขยายพื้นที่ปลูกป่า ร่วมกับชาวไร่ ชุมชนรอบโรงงาน กรมป่าไม้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และสร้างรายได้ระยะยาวให้กับชุมชนในอนาคต
แม้ว่ากลุ่มมิตรผลจะเป็นองค์กรที่อยู่ในธุรกิจฐานเกษตร (Agriculture Based) และมีโอกาสในการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากเทรนด์ของธุรกิจนี้ แต่เมื่อโลกถึงเวลาต้องเปลี่ยนผ่านจากสินค้าประเภท Petro-based สู่ Bio-based ที่มีวัตถุดิบหลักจากภาคเกษตร และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน สิ่งที่มิตรผลเน้นย้ำมาโดยตลอดคือการพัฒนาต้นน้ำให้แข็งแรงและมีคุณภาพ เพื่อที่จะได้ส่งมอบวัตถุดิบที่ดีและมั่นคง ให้โลกได้ก้าวสู่ความยั่งยืนร่วมกันอย่างแท้จริง
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



