เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ช่างภาพเวดดิ้งในประเทศไทย’ ชื่อของ Vin Buddy น่าจะเป็นคนแรกและคนเดียวที่หลายคนนึกออก
แต่กว่าจะกลายมาเป็นช่างภาพแถวหน้าที่สามารถทำเงินได้กว่า 4 แสนบาทต่อวัน หรือมากกว่านั้นอย่างทุกวันนี้ได้ เชื่อไหมว่าในอดีตเขาเคยเป็นนักศึกษาที่เคยได้เกรด C ในวิชาถ่ายภาพมาก่อน จบจากมหาวิทยาลัยด้วยเกรดเพียง 2.00 เท่านั้น แถมผลงานที่ทำให้ผู้คนเริ่มรู้จักกลับมาจากการถ่ายสัตว์เลี้ยง
แล้วอะไรคือจุดพลิกผันที่ทำให้ชื่อของ ภูริต เนติมงคลชัย หรือ Vin Buddy โด่งดังจนทำใครหลายคนอยากจะให้เขามาเป็นคนที่เก็บบันทึกความทรงจำผ่านภาพถ่ายในอีกหนึ่งวันสำคัญของชีวิตได้
คำตอบอยู่ในบทสนทนา ระหว่าง Marketeer กับคุณวิน ที่ด้านล่างนี้แล้ว
เริ่มต้นถ่ายภาพด้วยความไม่ได้ตั้งใจ
คุณวินบอกกับ Marketeer ว่าแม้เขาจะเป็นนักศึกษาในคณะนิเทศศาสตร์ที่มีวิชาถ่ายภาพเป็นวิชาบังคับ แต่สิ่งที่ทำให้เขาหันมาสนใจเรื่องการถ่ายภาพจริง ๆ ดันไม่ใช่หลักสูตรที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้
แต่กลับเป็นคำชวนของคุณแม่ที่ให้ไปทริปไหว้เจ้าด้วยกัน และความที่กลัวเบื่อคุณวินจึงหยิบกล้องถ่ายรูปที่ซื้อเพื่อเอาไว้เรียนติดมือไป กะว่าจะไปถ่ายวิวทิวทัศน์ที่เจอระหว่างทางแบบขำ ๆ
แต่ด้วยความที่มันเป็นกล้องฟิล์มเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นอยากเห็นว่ารูปที่ถ่ายออกมานั้นเป็นยังไง แล้วความตื่นเต้นในการรอรูปนี้ก็เริ่มพัฒนาไปเป็นความสนุก จนทำให้คุณวินรับจ็อบถ่ายรูปตามงานรับปริญญา และจากวิชาบังคับ การถ่ายภาพก็กลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้เขาหาเงินได้ในขณะที่ยังเรียนอยู่
“ผมเป็นคนไม่ค่อยเอาเรียน รู้สึกว่าหลักสูตรมันยังไม่ได้ตอบโจทย์เท่าไหร่ เกรดตอนจบเลยได้ออกมาแค่ 2.00 เพราะในขณะที่คนอื่นเรียน แต่ผมเลือกที่จะออกไปรับจ็อบข้างนอกมากกว่า”
จากช่างภาพตามงานรับปริญญาก็พัฒนาไปสู่การเป็นช่างภาพที่ทำงานอยู่ในแกรมมี่ พอทำไปได้ประมาณ 1 ปี คุณวินเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันยังไม่ใช่ เมื่อเรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่ไทยเขาจึงตัดสินใจไปเรียนด้านการถ่ายภาพโดยตรงต่อที่ประเทศออสเตเลีย
กลับมาถึงไทย เลือกที่จะไม่ถ่ายแฟชั่น แล้วหันมาถ่ายสัตว์เลี้ยงแทน
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน คุณวินบอกว่าการเป็นช่างภาพสายแฟชั่นถือเป็นอะไรที่สุดมากแล้วตอนนั้น ซึ่งด้วยดีกรีที่ไปเรียนถ่ายภาพมาจากเมืองนอกเมืองนา ฝีมือของเขาจึงสามารถถ่ายภาพแนวนี้ได้แบบไม่ยากเย็น
แต่สุดท้ายคุณวินก็ไม่เลือกที่จะเป็นช่างภาพสายแฟชั่น แล้วหันมาเปิดสตูดิโอถ่ายสัตว์เลี้ยงแทน ที่เขาให้เหตุผลมาว่า
“แม้จะถ่ายแฟชั่นได้ แต่การจะเดินในเส้นทางของช่างภาพสายแฟชั่นมันไม่ได้ง่ายเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ เรื่องของคอนเน็คชั่น และก็ปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย
หลังจากกลับมาไทย ผมเลยเลือกที่จะเปิดสตูดิโอถ่ายสัตว์เลี้ยงแทน เพราะตอนนั้นกระแสของคุณทองแดงมาแรงมาก อีกอย่างจากการทำรีเสิร์ชมา ในบ้านเรายังไม่เห็นมีใครทำสตูดิโอถ่ายสัตว์เลี้ยงมาก่อน แล้วผมก็เป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรเหมือนชาวบ้านอยู่แล้วด้วย
แล้วผลที่ได้จากการเปิดสตูดิโอถ่ายสัตว์เลี้ยงเป็นยังไงคะ ?
แม่ด่าครับ คนรอบข้างก็ด่าครับ เขามองว่าไปเรียนมาถึงเมืองนอกเมืองนาแต่กลับมาถ่ายสัตว์เลี้ยงเนี่ยนะ แต่ผมว่ามันก็ไม่ได้เป็นการตัดสินใจที่แย่นะ เพราะด้วยความที่มันใหม่ หลังจากเดือนแรกที่เปิดก็มีสื่อเข้ามาสัมภาษณ์กันมากมาย หรือละครเรื่องอุ้มรักที่เคน ธีรเดช เล่นเป็นช่างภาพก็มีสตูดิโอถ่ายสัตว์เลี้ยงของผมเป็นฉากหลังอยู่หลายครั้ง
จุดเปลี่ยนที่ทำให้เป็นที่รู้จักในฐานะของช่างภาพ Wedding อย่างเป็นจริงเป็นจัง
ในเมื่อถ่ายสัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นสิ่งที่คอนโทรลยากได้ แล้วทำไมจะถ่ายคนที่สามารถบอกให้โพสต์ท่าได้ ไม่ได้ล่ะ ?
ตรงนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้มีคนมาชวนคุณวินไปถ่ายภาพแนว Wedding ให้และก็ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเจอกับลายเซ็นในการถ่ายภาพของตัวเอง
พอถ่ายไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มมีพอร์ทเยอะขึ้น พอมีพอร์ทมากขึ้น ก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น จนสุดท้ายผลงานการถ่ายภาพ Wedding ของเขาก็ดันไปเข้าตาดาราชื่อดังอย่างหนิง ปณิตา ที่คุณวินบอกว่า “จะถือว่าภาพถ่ายงานแต่งของหนิง ปณิตา กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผู้คนรู้จัก Vin Buddy ในวงกว้างมากขึ้นก็คงจะไม่ผิด”
จากงานแต่งของหนิง ปณิตา ก็ต่อยอดไปสู่งานแต่งของ แอ๊ฟ ทักษอร และงานแต่งดาราแถวหน้าของประเทศอีกมากมาย จนทำให้ชื่อของ Vin Buddy มี Branding ในการเป็นช่างภาพแนว Wedding แถวหน้า ที่ต่อยอดให้เขาได้มีโอกาสไปทำงานแนว Commercial ต่าง ๆ อีกมากมาย
และจากช่างภาพก็พัฒนามาเป็นออการ์ไนเซอร์และ Wedding Planner จนถึงปัจจุบัน ที่คุณวินบอกกับ Marketeer ว่า
“การเป็น Wedding Planner นั้นไม่ได้ดีกว่าแค่ในแง่ของการขาย แต่มันยังทำให้ผมทำงานง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และเป็นไปตามที่ต้องการมากขึ้น เพราะจะมีออร์กาไนซ์เซอร์สักกี่เจ้าที่รู้ว่าต้องใช้ Moving Head ยังไง หรือต้องใช้ไฟกี่วัตต์ภาพถึงจะออกมาสวยที่สุด”
ไม่เคยชมว่ารูปของตัวเองสวย
เมื่อถามว่าเขามีเทคนิคอะไร ที่ทำให้ทุกภาพจากการลั่นชัตเตอร์ของ Vin Buddy ออกมาได้สวยงามมากขนาดนี้ สิ่งที่คุณวินตอบกลับมาก็คือ
“ผมไม่เคยชมว่าตัวเองถ่ายรูปสวยนะ ถ้าลองสังเกตใน Fanpage หรือ Social Media ของผม คุณจะไม่เจอรูปที่ผมบอกว่ามันสวยเลย มีก็แต่รูปที่ผมชอบเท่านั้น
เพราะถ้าผมคิดว่าตัวเองถ่ายรูปสวยหรือเก่งเมื่อไหร่ นั่นเท่ากับว่าเราได้เริ่มโง่แล้ว และมันจะทำให้เราเป็นน้ำเต็มแก้วที่ไม่พัฒนางานของตัวเองให้ดีขึ้นไปอีก
ถ้าจะตอบว่าทำไมรูปของผมถึงสวย งั้นผมขอตอบด้วยคำพูดที่คนอื่นมาบอกผมดีกว่าว่าเขาชอบงานผมเพราะอะไร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาก็จะบอกว่าผมสามารถสแน็ปโมเมนต์ต่าง ๆ ได้ค่อนข้างโอเค มี Emotional สัมผัสกับความรู้สึกในภาพ ได้แม้จะไม่มีแคปชั่นบรรยายอยู่ข้างใต้ก็ตาม”
อยากให้ช่างภาพไทย ได้มีเวทีในต่างประเทศบ้าง
แม้จะมีความเชี่ยวชาญการถ่ายภาพในสไตล์แบบ Wedding แต่คุณวินกลับบอกว่างานแต่งในไทยยังเป็นอะไรที่ค่อนข้าง “แห้ง” ถ้าหากเทียบกับของต่างประเทศที่จะมี Emotional มากกว่า ฉะนั้นฝีมือของช่างภาพ Wedding ไทยเลยถูกจำกัดอยู่แค่ในประเทศ ไม่ใช่เพราะฝีมือไม่ดี แต่เป็นเพราะงานแต่งของคนไทยส่วนใหญ่ล้วนมีแต่แพทเทิร์นแบบเดิม ๆ
ในอนาคตคุณวินจึงอยากจะเพิ่มพื้นที่ให้กับช่างภาพ Wedding ของไทย ด้วยการไปถ่าย Wedding ที่ต่างประเทศมากขึ้น พอมีงานสนุก ๆ ให้ถ่าย ภาพที่ออกมามันก็จะดูสนุกขึ้น มีเรื่องราวมากขึ้น และมันก็เป็นเหมือนเวทีที่ทำให้ชาวต่างชาติได้เห็นว่า จริง ๆ แล้วช่างภาพไทยก็มีฝีมือเหมือนกัน
ทำงานสายนี้มา 10 กว่าปี แต่รู้จักช่างภาพด้วยกันเอง น้อยมาก
ด้วยชื่อเสียงที่สั่งสมมากว่า 10 ปี จึงเป็นธรรมดาที่จะมีช่างภาพมารู้จักคุณวิน มากกว่าที่คุณวินจะรู้จักช่างภาพคนอื่น
ไม่ใช่เพราะดังแล้วหยิ่ง หรือคิดว่ามีงานมีคอนเน็คชั่นอยู่แล้วจึงไม่แคร์ใคร
แต่เป็นเพราะคุณวินเลือกที่จะ ‘โฟกัส’ แต่กับงาน หรือที่เขาเรียกว่ามันเป็นการ ตั้งหน้าตั้งตาทำซะมากกว่า
“ผมแทบไม่รู้จักใครเลย ไม่ได้มีสังคมช่างภาพเยอะมาก เวลาเขามีดราม่าช่างภาพอะไรกัน ผมก็กลายเป็นคนตกข่าวในนั้น เพราะผมโฟกัสกับแค่ตัวเอง กับงานที่ทำอยู่ตรงหน้า และตั้งหน้าตั้งตาทำ โดยไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย”
ทำในสิ่งที่รัก คำโหล ๆ ที่ยังคงใช้ได้เสมอมา
ทำในสิ่งที่รัก แล้วรักในสิ่งที่ทำ แม้จะเป็นประโยคที่ได้ยินกันอย่างชินหู แต่คุณวินบอกว่าถ้าได้ลองเข้าใจและรู้สึกกับความหมายของมันจริง ๆ คำโหล ๆ นี้ก็ยังคงใช้ได้อยู่ตลอดเวลา
“10 กว่าปีของการเป็นช่างภาพ แม้จะนานแต่ผมกลับไม่เคยเบื่อมันเลย เพราะผมจะพยาม keep ตัวเองให้ทำงานได้สนุกอยู่ตลอดเวลา พอมันสนุก งานก็จะออกมาดีโดยธรรมชาติ พองานดีมันก็จะถูกส่งต่อไปเรื่อย ๆ เอง
อย่างมีทริปนึงที่ขึ้นเขาที่เนปาล แค่เดินขึ้นธรรมดาก็เป็นอะไรที่ลำบากมากแล้ว แต่ผมก็เลือกที่จะเอาคอมติดไปด้วย เพื่อเวลาถ่ายรูปเสร็จ ก็จะได้เอารูปมาแต่งต่อได้เลย
ไม่ใช่เพื่ออยากโพสต์ลงโซเชี่ยลไว ๆ นะ แต่เพราะผมอยากเห็นงานที่ตัวเองถ่ายออกมาเร็ว ๆ เท่านั้น
และมันคือความสุขของผมจริง ๆ ”
ขอบคุณภาพ : Facebook @ Vin Buddy
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ