Salad Factory ปรับกลยุทธ์ในวันที่ร้านสลัดและเฮลท์ตี้ฟู้ดเชนมีมากกว่า 20 แบรนด์
ตลาดร้านสลัดและเฮลท์ตี้ฟู้ดมูลค่า 4,000 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา เติบโตมากถึง 50% เมื่อเทียบกับปี 2564
การเติบโต 50% วันนี้ปิยะ ดั่นคุ้ม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรีนฟู้ด แฟคทอรี่ เจ้าของร้าน สลัด แฟคทอรี่ วิเคราะห์จากรายได้ของผู้ประกอบการในธุรกิจที่หลายแบรนด์เติบโตมากกว่า 50% จากปี 2564
ปิยะให้เหตุผลที่ธุรกิจร้านสลัดและเฮลท์ตี้ฟู้ดมาจากในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ผู้บริโภคหันมาค้นหาข้อมูลมีความรู้ด้านอาหารอย่างลงลึกและใส่ใจกับการดูแลสุขภาพผ่านการรับประทานอาหารมากขึ้น
ประกอบกับในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเกิดร้านสลัดและร้านอาหารเฮลท์ตี้ฟู้ดเชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันมีจำนวนมากถึง 20 แบรนด์ มีสาขาทุกแบรนด์รวมกันมากกว่า 100 สาขา
จากเดิมเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาตลาดร้านสลัดและร้านเฮลท์ตี้ฟู้ดเชนมีไม่เกิน 5 แบรนด์เท่านั้น
ถ้ามองในมุมเพียงร้านสลัดเชนในวันนี้ตลาดร้านสลัดเชนที่เป็นคู่แข่งรายใหญ่ คงหนีไม่พ้น สลัดแฟคทอรี่ โจนส์สลัด และโอ้กะจู๋ ที่มีสาขาอยู่เป็นจำนวนมาก
สลัดแฟคทอรี่ 34 สาขา
โจนส์สลัด 21 สาขา
โอ้กะจู๋ 27 สาขา
ซึ่งการแข่งขันของตลาดร้านสลัดเชนจะแข่งขันกันเรื่องคุณภาพ ราคา รสชาติ และภาพลักษณ์ผ่านการเล่าเรื่องราวของแบรนด์ร้านเพื่อสร้างจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่งดูดเม็ดเงินผู้บริโภค

สำหรับสลัดแฟคทอรี่ ร้านสลัดเชนที่เริ่มต้นธุรกิจในปี 2556 มีสาขาแรกที่เมืองทองธานี ก่อนที่จะขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง จน CRG หรือ เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป ให้ความสนใจเข้าร่วมทุนในเดือนธันวาคม 2562 มีกลยุทธ์อย่างไรในการสร้างการเติบโตในธุรกิจร้านสลัดเชน
ปิยะให้ข้อมูลว่าสลัดแฟคทอรี่ เป็นร้านสลัดที่วางตัวเองเป็นร้านอาหารเพื่อสุขภาพ รสชาติอร่อย และให้ความปลอดภัยในการรับประทาน ที่สามารถรับประทานได้ทุกวัน ซึ่งเป็นจุดแข็งที่มีมานานของแบรนด์
และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามารับประทานอาหารผ่านร้านสลัด แฟคทอรี่มากขึ้นด้วยกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อเป้าหมายเติบโต 70% ในปีนี้ ประกอบด้วย
1. ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
ในปีนี้สลัด แฟคทอรี่ มีแผนขยายสาขา 8-9 สาขาเน้นไปที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก เน้นไปยังสาขาขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสาขาขนาดเดียวกับที่เปิดในช่วงก่อนโควิด-19 เพื่อสร้างประสบการณ์ในการรับประทานผ่านร้านอาหาร และรองรับการกลับมาของผู้บริโภคที่ในวันนี้ปิยะบอกว่ากลุ่มลูกค้ากลับเข้ามารับประทานอาหารรูปแบบนั่งรับประทานในร้านสลัด แฟคทอรี่ 100%
จากในช่วงโควิด-19 ที่ปรับกลยุทธ์เปิดสาขาใหม่เป็นรูปแบบพื้นที่ขนาดเล็ก รองรับเดลิเวอรี่เป็นหลัก
แผนการขยายสาขา 8-9 สาขา เป็นกลยุทธ์ระยะ 5 ปี ปิยะวางไว้ตั้งแต่ปี 2565
และหลังจากปีนี้ปิยะมีแนวคิดพาสลัดแฟคทอรี่ไปยังต่างจังหวัด จากการมองเห็นโอกาสที่ทดลองเปิดสาขาที่พัทยา สาขาต่างจังหวัดสาขาเดียวของสลัดแฟคทอรี่ในปัจจุบัน โดยสาขาต่างจังหวัดให้ความสนใจจะไปคือ นครปฐม นครสวรรค์ และพัทยา และหาโมเดลการเปิดสาขาใหม่ ๆ มากขึ้น เช่นที่ผ่านมามีการเปิดโมเดล เฟรช แอนด์ อีซี่ ในรูปแบบเคาน์เตอร์บาร์ ที่อยู่ในศูนย์อาหารเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ เป็นต้น
2. สร้างประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้า
ปิยะต้องการวางสลัดแฟคทอรี่เป็นร้านอาหารที่ให้ประสบการณ์กับลูกค้ามากกว่าอาหาร ผ่าน Story ต่าง ๆ บอกเล่าเรื่องราวและการจัดกิจกรรมเวิร์กช็อปให้กับลูกค้า ให้มีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์
โดยปัจจุบันลูกค้าสลัดแฟคทอรี่สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักได้แก่
– กลุ่มครอบครัว ที่มองหาอาหารสุขภาพที่สามารถเข้าถึงง่าย อร่อย หลากหลาย คุณภาพดีตอบโจทย์คนในบ้าน
– กลุ่มรับประทานอาหารเพื่อเป้าหมายบางอย่าง เช่น กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ, รับประทานอาหารเพื่อลดน้ำหนัก หรือรับประทานเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ เป็นต้น
– คนเมืองที่มีชีวิตเร่งรีบ ที่ต้องการรับประทานอาหารที่ดี และมีความสะดวก ผ่านการนั่งรับประทานในร้าน, Talk Away และเดลิเวอรี่

3. จับมือพาร์ตเนอร์นำเสนออาหารและแคมเปญใหม่สร้างความแตกต่าง
สลัดแฟคทอรี่มีเมนูอาหารกว่า 200 เมนู และมีการเปลี่ยนเมนูอาหารในรูปแบบแคมเปญใหญ่ ๆ 3-4 ครั้งต่อปี ผ่านการจับมือกับพาร์ตเนอร์ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับผู้บริโภคและไม่เบื่อกับการเข้ามารับประทานอาหารในสลัดแฟคทอรี่ และมีความรู้สึกอยากเข้ามารับประทานบ่อยขึ้น
การพัฒนาเมนูอาหารและแคมเปญใหม่ ๆ เป็นการพัฒนาผ่านการจับมือกับพาร์ตเนอร์และอื่น ๆ อย่างเช่นล่าสุดจับมือร่วมกับธรรมชาติซีฟู้ดจัดแคมเปญ Taste of New Zealand นำเสนอเมนูอาหารสุขภาพจากปลานำเข้าจากนิวซีแลนด์ เช่น ปลา คิงคลิป ปลาโฮกิ เพื่อสร้างสีสัน และดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาในความถี่ที่เพิ่มขึ้น
จากปัจจุบันสลัดแฟคทอรี่จะมีลูกค้าเข้ามารับประทานเฉลี่ยอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งและรับประทานอาหารเฉลี่ยต่อบิลที่ 200 กว่าบาท
4. Salad Factoryหา New S Curve ใหม่ ๆ
สลัดแฟคทอรี่ขยายตลาดใหม่ ๆ ที่สร้างโอกาสในการเติบโตเพิ่มขึ้น เช่น สลัดพร้อมรับประทาน นำน้ำสลัดจำหน่ายในเชลฟ์สลัดบาร์ที่ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต นอกเหนือจากที่เคยจับมือร่วมกับมีทอวตารเปิดตัวน้ำสลัดแบรนด์มาทานก่อนหน้านั้น
อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสลัดแฟคทอรี่มีรายได้ดังนี้
2562 รายได้รวม 13.74 ล้านบาท ขาดทุน 2.57 ล้านบาท
2563 รายได้รวม 199.59 ล้านบาท กำไร 0.97 ล้านบาท
2564 รายได้รวม 256.30 ล้านบาท ขาดทุน 18.68 ล้านบาท
2565 รายได้รวม 439.13 ล้านบาท กำไร 7.96 ล้านบาท
ส่วนปีนี้สลัดแฟคทอรี่จะเติบโตได้ 70% ตามเป้าหรือไม่ ดูกันสิ้นปี
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
