
หนึ่งในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือฟุตบอลโลก เพราะทุกประเทศต่างขับเคี่ยวกันตั้งแต่รอบคัดเลือกเพื่อให้ได้ผ่านไปเล่นรอบสุดท้าย และหากนักเตะคนไหนโชว์ฝีเท้าได้เข้าตาโอกาสที่ย้ายไปอยู่กับสโมสรก็มีสูงมาก

ความน่าสนใจของฟุตบอลโลกยังไม่หมดแค่นั้น เพราะแบรนด์ดัง ๆ ต่างแข่งกันเพื่อให้มีโลโก้และโฆษณาอยู่ตลอดราว 1 เดือนของการแข่งขันที่ผ่านสายตาคนทั่วโลก ตามแผนโปรโมตระยะสั้นแต่คนเห็นมาก

ล่าสุดมีอีกความเคลื่อนไหวออกมาในเรื่องเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โดยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ตัดสินใจเพิ่มประเทศเจ้าภาพสำหรับการแข่งขันในปี 2030 เป็น 6 ประเทศ คือ อุรุกวัย ปารากวัย อาร์เจนตินา สเปน โปรตุเกส และโมร็อกโค

เพื่อฉลองการแข่งขันที่จะครบ 100 ปี โดยมีนัยสำคัญอยู่ที่ ปารากวัย โปรตุเกส และโมร็อกโค จะได้เป็นเจ้าภาพครั้งแรก และขณะเดียวกันยังเป็นครั้งแรกที่ขยายพื้นที่จัดเป็น 3 ทวีป คือ อเมริกา ยุโรป และแอฟริกา อีกด้วย พร้อมกันนี้เจ้าภาพทั้ง 6 จะได้สิทธิพิเศษผ่านเข้ารอบโดยอัตโนมัติ

กรอบเวลาในการแข่งขันวางไว้ช่วงมิถุนายนถึงกรกฎาคม โดยนัดแรกจะประเดิมที่กรุง Montevideo ของอุรุกวัยเมืองเดียวกับนัดแรกของฟุตบอลโลกครั้งแรกเมื่อปี 1930 จากนั้นจะกระจายไปจัดใน 20 เมืองของอีก 5 ประเทศที่เหลือ

ฟุตบอลโลกปี 2030 ยังถือเป็นการเพิ่มเจ้าภาพครั้งที่ 3 ต่อจากครั้งแรกปี 2002 ที่ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้จัดร่วมกัน และครั้งที่ 2 ปี 2026 ที่สหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโกจับมือกัน
ทีมชาติที่ผ่านเข้ามาถึงรอบสุดท้ายกับแมตช์ที่เตะ จะอยู่ที่ 48 ทีม และ 104 แมตช์ เท่ากับฟุตบอลโลกปี 2026 โดยเพิ่มจากเพียง 32 ทีมและ 64 นัด ที่เริ่มใช้เมื่อปี 2002 ซึ่งสิ้นสุดฟุตบอลโลกปี 2022 ที่กาตาร์เป็นเจ้าภาพ
Gianni Infantino
Gianni Infantino ประธาน FIFA เชื่อว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะทำให้ประเทศต่าง ๆ เชื่อมต่อกันได้มากขึ้นในยุคที่เต็มไปด้วยการแบ่งขั้ว และยังเป็นการสื่อสารไปว่า FIFA สนับสนุนสันติภาพ การอดทนอดกลั้น และการมีส่วนร่วมผ่านการแข่งขันกีฬา
อย่างไรก็ตาม องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มเจ้าภาพเป็น 6 ประเทศและขยายพื้นที่จัดไปใน 3 ทวีป เพราะยิ่งจะสิ้นเปลืองพลังงาน และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมกับภาวะโลกร้อนเลวร้ายลง
ขณะเดียวกันทีมชาติแต่ละทีมยังต้องเผื่อเวลาเดินทางและเจอกับปัญหาล้าจากการเดินทางด้วยเครื่องบิน (Jet Lag) แบบข้ามประเทศและทวีป

ตรงข้ามครั้งล่าสุดเมื่อปี 2022 ในกาตาร์ ซึ่งทั้ง 8 สนามอยู่ไม่ไกลกันมากนัก และบางวันที่แข่งสามารถเดินจากสนามหนึ่งไปอีกสนามหนึ่งได้เลย

ส่วนฟุตบอลโลกปี 2034 มีแนวโน้มว่าจะเป็นซาอุดีอาระเบีย เพราะได้เสนอตัวเข้ามาแล้ว และถึงช่วงเวลาดังกล่าวลีกซาอุฯ อาจพัฒนาขึ้นมาเป็นลีกใหญ่สุดของเอเชียที่เต็มไปด้วยนักเตะระดับโลก
ท่ามกลางการทุ่มงบของรัฐบาลเพื่อดันกีฬากับกิจการด้านอื่น ๆ ให้เด่นขึ้นมาเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมัน โดยถ้าซาอุฯ ได้จัดฟุตบอลโลกปี 2034 จริง อีกสิ่งที่คอบอลจะได้เห็นแบรนด์ซาอุฯ ตลอดทัวร์นาเมนต์ แบบเดียวกับการผงาดขึ้นมาของแบรนด์จีน ในฟุตบอลโลกใน 3 ครั้งที่ผ่านมา
สำหรับการจัดฟุตบอลโลกแบบเจ้าภาพร่วมนอกจากเพิ่มสีสัน และกระจายการแข่งขันให้ทั่วถึงแล้ว ยังช่วยลดภาระทางการเงินของประเทศเจ้าภาพ เพราะหากจัดประเทศเดียวงบประมาณจะสูงถึง 12,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 372,000 ล้านบาท)/theguardian, cnn, wikipedia, bbc
–
